ต้องยกเครดิตให้กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)และ ก.ตร.ทั้งโดยตำแหน่งและผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที ลงมติเอกฉันท์ส่ง พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.)อาวุโสอันดับ 1 นั่งผบ.ตร.คนที่ 15 แบบไร้เสียงค้าน
จัดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนักที่การพิจารณาตั้งผบ.ตร.ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจบสิ้นได้ผบ.ตร.คนใหม่ตามกฎหมายตำรวจ 2565 ที่ใช้เลือก ผบ.ตร.คนที่ 2 เพราะปกติที่ผ่านมาตำแหน่ง ผบ.ตร.มักเกิดความพลิกผันแหกกฎกติกาบ่อยครั้ง จนสร้างความระอาให้กับชาวสีกากีเสมอมา
หากย้อนเวลาก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะนัด ก.ตร.ประชุมในวันที่ 7 ตุลาคม เพื่อเลือก ผบ.ตร. บรรดาสื่อสำนักต่างๆรวมถึงผู้มีบทบาทในแวดวงสีกากีและนักวิชาการ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันหนักว่าโอกาสที่นายกรัฐมนตรีหรือผู้กุมอำนาจทางการเมือง จะละเลยการบังคับใช้กฎหมายตำรวจอย่างเคร่งครัดมีโอกาสสูง เนื่องจาก ผบ.ตร.เป็นตำแหน่งสำคัญที่ทุกรัฐบาลจะให้ความสำคัญสรรหาบุคคลที่ไว้วางใจมาดำรงตำแหน่ง
ในอดีตที่ผ่านมานับแต่เผด็จทหารครองเมืองและสืบทอดอำนาจมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 มักจะพลาดโอกาสเป็นเจ้าสำนักปทุมวันเสมอ แม้แต่ครั้งแรกที่กฎหมายตำรวจ 2565 บังคับใช้ มีการเลี่ยงบาลีตั้งรองผบ.ตร.อาวุโสบ๊วยนั่งเป็น ผบ.ตร.มาแล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ก่อนจะถึงเวลาแต่งตั้ง ผบ.ตร.จะมีการวิเคราะห์ว่ามีช่องทางไหนบ้างที่ผู้กุมอำนาจต้องการคนในสังกัดมานั่งเบอร์ 1 เจ้าสำนักปทุมวัน ไม่ว่าจะเป็นช่องทางขอมติ ก.ตร.ให้รักษาการณ์ ผบ.ตร.แต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผบ.ตร.ถึงผู้บัญชาการ(ผบช.)ก่อน เพื่อเปิดทางให้ระดับผู้ช่วยผบ.ตร.ขยับมาเป็น รอง ผบ.ตร.ได้อีก 2 คน เพิ่มตัวเลือกให้กับนายกรัฐมนตรีในการเสนอชื่อเป็นผบ.ตร.
ขณะที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ยึดมั่นกฎกติกามาโดยตลอด เป็น ก.ตร.หนึ่งเดียวที่โหวตสวนในการตั้งแต่ง ผบ.ตร.ครั้งที่ผ่านมา ได้เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวและให้ความเห็นผ่านสื่อสำนักต่างๆว่า การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและก.ตร.ต้องยึดระบบคุณธรรม เดินตามที่กฎหมายตำรวจบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด หากละเลยอาจจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้
ซึ่ง พล.ต.อ.เอกได้แสดงจุดยืนก่อนถึงวันประชุม ก.ตร.อย่างชัดเจนเหมือนเดิมว่า รอง ผบ.ตร.ที่จะขยับเป็น ผบ.ตร.ต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ประกอบด้วยอาวุโสสูงสุดบวกความรู้ความสามารถ และในวันที่ประชุมพล.ต.อ.เอก ยังยืนยันในเจตนารมณ์เดิม
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร บอกว่าก่อนประชุม ก.ตร.ว่าให้ ก.ตร.ทุกท่านร่วมกันพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบตามกรอบของกฎหมายและข้อเสนอแนะอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีรับฟังเสมอ เมื่อนายกรัฐมนตรีเปิดกว้างบวกกับจุดยืนของบรรดา ก.ตร.ที่อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายตำรวจเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม การลงมติไฟเขียวให้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ นั่ง ผบ.ตร.จึงผ่านฉลุยม้วนเดียวจบ จากผลพวงนี้พอที่จะสร้างความคาดหวังได้ว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายตั้งแต่ระดับ รอง ผบ.ตร.-สารวัตร(สว.)ที่จะเกิดในเร็ววันคงยึดกฎ กติกาอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นจากนี้ต้องจับตาดู พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ในฐานะเจ้าสำนักปทุมวัน ว่าจะวางแนวทางจัดทัพสีกากีอย่างไรเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตำรวจผนึกกำลังกันทำงานเพื่อกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรที่ประชาชนค่อนข้างขาดศรัทธาให้กับมาศรัทธาดังเดิมได้ และ ที่สำคัญจะสนองตอบนโยบายรัฐบาลที่ น.ส.แพทองธารบอกก่อนเข้าประชุม ก.ตร.ว่ามีนโยบายเร่งด่วนไม่ว่าจะเป็นนโยบายปราบปรามยาเสพติดหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอีกหลายอย่างที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ได้อย่างไร
สำหรับนโยบายปราบยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จัดว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐจะต้องเร่งดำเนินการเพราะเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามประชาชนเกือบทุกหย่อมหญ้า เป็นอาชญากรรมที่มีเครือข่ายกว้างขวางทั้งในระเทศและต่างประเทศแถมมีเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยรวมถึงตำรวจมีเอี่ยวด้วย
ดังนั้นถ้าจะมองว่าเป็นโจทย์ยากที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องรีบแก้คงไม่ผิดนัก เพราะต้องจัดการทั้งศึกนอกและศึกใน โดยศึกในต้องใช้ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายเข้าจัดการใช้คนให้ถูกกับงาน ขจัดตำรวจนอกแถวย้ายเก็บกรุพร้อมตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิด
เมื่อจัดทัพพร้อมลุยงานแล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องโชว์ภาวะผู้นำประกาศยืนเป็นกำแพงเหล็กให้กับตำรวจทุกนายที่ตั้งใจทำงานพิงและพร้อมดูแลตำรวจที่ปฏิบัติงานแล้วถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม แม้จะฝืนกระแสสังคมก็ตาม หากทำได้ เชื่อว่านโยบายเร่งด่วนทั้งสองจะถูกจัดการให้ราบคาบได้ไม่ยาก แถมจะเป็นตัวช่วยค้ำให้นั่งบัลลังก์เจ้าสำนักปทุมวัน จนเกษียณอายุอีกด้วย !!!