”รรท.ผบ.ตร.“ควันออกหู ..!!! สั่งผู้การปากน้ำ เร่งตรวจสอบเคส“ร้อยเวร”อมเงินคดีไกล่เกลี่ย อย่าเอาไว้

1144

”รรท.ผบ.ตร.“ควันออกหู ..!!! สั่งผู้การปากน้ำ เร่งตรวจสอบเคส“ร้อยเวร”อมเงินคดีไกล่เกลี่ย หากจริงอย่าเอาใว้ สั่งเชือดเอาผิดทั้งวินัย อาญา

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รรท.ผบ.ตร.)กล่าวว่า จากกรณีปรากฏเป็นข่าว สาวร้องสายไหมต้องรอด ถูกร้อยเวรเชิดเงิน หลังไกล่เกลี่ยลูกหนี้คดีเช็คเด้งให้ผ่อนจ่ายเป็นงวด สุดท้ายโดนตำรวจอมเงินไม่ส่งคืนเจ้าหนี้ นั้น

เรื่องนี้ตนได้ สั่งการไปที่ พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการให้ตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึก หากพบว่ากระทำผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาจะต้องพิจารณาทั้งทางวินัยร้ายแรง และทางอาญา โดยไม่มีการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างและเป็นบรรทัดฐานที่ดีกับตำรวจที่กระทำผิด เอาตำแหน่งให้ตำรวจดีๆ ขึ้นมาเป็นสัญญาบัตรดีกว่า และหากเด็ดขาดแบบนี้ จะทำให้ประชาชนเขาเชื่อใจว่าตำรวจไม่ช่วยกันและทำตรงไปตรงมา “รรท.ผบ.ตร. กล่าว”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าว เหตุจาก น.ส.วนิศา อายุ 34 ปี ร้องขอความช่วยเหลือ จากนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากถูกตำรวจ สน.สำโรงใต้ โกงเงิน 30,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ลูกหนี้ของเธอฝากให้มาใช้หนี้ผ่านตำรวจ / โดยผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองทำธุรกิจโรงกลึง ในอำเภอแพรกกระสา นจ.สมุทรปราการ แต่เมื่อปี 2564 ถูกลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเช็คเด้งมูลค่า 642,252.10 บาท ให้กับเธอ เธอจึงไปได้แจ้งความดำเนินคดีที่ สน.สำโรงใต้ 

โดย ร.ต.อ.ปัญญาพล รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน เป็นผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าวและมีการเจรจาไกล่เกลี่ย จนคู่กรณียอมชดใช้เงินคืนให้เต็มจำนวนและทำบันทึกข้อตกลง ตั้งแต่ตุลาคม 2566 โดยทุกครั้งที่ผ่านมาลูกหนีนำเงินมาคืนจะต่อหน้าตำรวจ และเธอจะแบ่งเปอร์เซ็นรองสารวัตร 10% ของยอดเงินทั้งหมด ผู้เสียหายยืนยันที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเลย ลูกหนี้ใช้หนี้ได้เกือบ 3 แสนบาทแล้ว กระทั้งเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เธอไม่สามารถติดต่อรองสารวัตรได้เลย จึงเดือน ก.ย. อดีตสามีของเธอไปสอบถามจากลูกหนี้คนดังกล่าวถึงเงินที่เหลือ ก็บอกว่านำเงินมาฝากไว้กับตำรวจแล้วตั้งแต่ 22 ก.ค. จำนวน 2 หมื่นบาท และเมื่อวันที่ 6 ก.ย.จำนวน 10,000บาท ซึ่งเธอและอดีตสามีก็ งง และพยายามติดต่อไปสอบถามยัง รองสารวัตรคนดังกล่าว จนเจ้าตัวยอมรับว่าเงินอยู่ที่ตนจริง
30,000 บาท และนัดไปเอาสิ้นเดือนก.ย.เพราะลูกหนี้จะเอาเงินมาใช้เพิ่มอีกก้อนหนึ่ง แต่พอถึงสิ้นเดือน ก.ย.ตามที่นัดหมาย ตำรวจคนดังกล่าวก็ไม่ติดต่อมา ทำให้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินและไม่สามารถติดต่อตำรวจได้ ทำให้เธอกังวลว่าจะไม่ได้เงิน 30,000 บาทคืน และทำให้ลูกหนี้ใช้เป็นข้ออ้างในการเบี้ยวไม่จ่ายหนี้ที่เหลือจนหมดอายุความ

โดยนายเอกภพ กล่าวว่า ความจริงแล้วตำรวจไม่ควรรับเงินจากผู้เสียหาย แต่ตนเข้าใจว่า 10% ผู้เสียหายเต็มใจจะให้เป็นสินน้ำใจ จึงขอให้รองสารวัตรนำเงินมาคืน เพราะเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกเงิน

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์