บอร์ด ป.ป.ส. เคาะแผนปฏิบัติการเร่งรัดงานยาเสพติด เร่งด่วนระยะ 3 เดือนกำหนด 25 จังหวัดนำร่อง พร้อมเห็นชอบเพิ่มพื้นที่สกัดกั้นยาเสพติด อีก 10 จังหวัด 28 อำเภอ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ส.) ครั้งที่ 1/2567 โดยมี ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกระทรวงแรงงาน ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหัวหน้าหน่วยราชการต่าง ๆ โดยมี พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการการประชุมฯ ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ/ประธานการประชุมกล่าวถึงเรื่องสำคัญที่แจ้งให้ที่ประชุมทราบ 2 เรื่อง ได้แก่ 1.นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในเรื่องปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายตำรวจ และทุกหน่วยงานทำงานให้หนักขึ้น ทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและจัดการอย่างเด็ดขาด โดยจะต้องมีผลการดำเนินงานอย่างชัดเจนภายใน 90 วัน และ 2. จากปัญหายาเสพติดที่มีการนำเข้าทางด้านบริเวณชายแดนจำนวนมาก ในวันนี้จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ส. เพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามมาตรา 5 (10) เพิ่มเติมขึ้น เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาร่วมกัน
พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด ครั้งที่ 1/2567 มีเรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ 1.) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด มีบทบาทหน้าที่หลักในการติดตาม ความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ในเรื่องยาเสพติด โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมาการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็น รองประธานกรรมการ คนที่ 1 และ เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็น รองประธานกรรมการ คนที่ 2 (2) สรุปผลประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 67 ระหว่างวันที่ 14-22 มีนาคม2567 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย (3)รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุมัติการแต่งตั้งเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. (4) การทำลายของกลางยาเสพติด ซึ่งรายงานผลการทำลายยาเสพติดโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สำนักงาน ป.ป.ส. และ (5) แผนปฏิบัติการเร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ระยะเร่งด่วน 3 เดือน (มิถุนายน – สิงหาคม 2567) เน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและฝ่ายตำรวจร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดดำเนินการปราบปรามนักค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง ให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวช ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ฝ่ายทหารสนับสนุนสถานที่เป็นค่ายบำบัดรักษา และให้ดำเนินการให้เห็นผลภายในระยะเวลา 90 วัน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเป้าหมายที่สำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดให้เป็นพื้นที่เร่งด่วนใน 25 จังหวัด
ทั้งนี้ ในส่วนของที่ประชุมมีเรื่องเพื่อพิจารณาและได้ให้ความเห็นชอบที่สำคัญ คือ (1) กำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพิ่มเติมอีก 10 จังหวัด 28 อำเภอ โดยให้หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคเหนือ นบ.ยส.35 มีแม่ทัพภาคที่ 3 (กองทัพภาคที่ 3) เป็นผู้บัญชาการหน่วย มี ผอ.ปปส.ภาค 5 เป็นฝ่ายเลขานุการร่วม กำกับดูแลพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา และน่าน และ ผอ.ปปส.ภาค 6 เป็นฝ่ายเลขานุการร่วม กำกับดูแลพื้นที่จังหวัดตาก และหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ นบ.ยส.24 มีแม่ทัพภาคที่ 2 (กองทัพภาคที่ 2) เป็นผู้บัญชาการหน่วย มี ผอ.ปปส.ภาค 4 เป็นฝ่ายเลขานุการร่วม กำกับดูแลพื้นที่ชายแดนจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร และมี ผอ.ปปส.ภาค 3 เป็นฝ่ายเลขานุการร่วม กำกับดูแลพื้นที่ชายแดนจังหวัดอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี (2) เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ (กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม ระยะ 4 ปี (พ.ศ2567 – 2570) และนำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป 3) การปรับปรุงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และ 4.) การใช้งบประมาณของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ให้แก่โครงการชุมชนบำบัดอย่างยั่งยืนในพื้นที่แพร่ระบาดยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจปราบปราม ยาเสพติด จำนวน 80 ล้านบาท