กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างหนัก เมื่อนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ขอเล่าประสบการณ์สุดงงที่ประเทศไทยว่า ผมมาธนิยะจากอโศก นั่งตุ๊กตุ๊ก ต้องจ่ายค่าโดยสารคนละ 1,500 บาท รวม 4 คนต้องจ่าย 6,000 บาท พร้อมโพสต์ภาพตุ๊กตุ๊กที่เขาและเพื่อนใช้บริการ
ปรากฏว่าชาวเน็ตทั้งไทยและต่างชาติเข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมาก โดยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ต้องจ่ายค่าโดยสารแสนโหด พร้อมเรียกร้องหน่วยงานรัฐเร่งแก้ไข เพราะกระทบภาพลักษณ์ของประเทศที่กำลังบูมการท่องเที่ยว เสาหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต่อมาตำรวจท่องเที่ยวได้จับกุมโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กได้ ส่งให้กรมการขนส่งทางบกไปดำเนินคดีตามกฎหมายหลายกระทง
ปัญหารถลักษณะนี้มีมายาวนานแล้ว ไม่ได้เกิดเฉพาะกับชาวต่างชาติ แม้แต่คนไทยด้วยกันยังโดนบรรดารถตุ๊กตุ๊ก รถแท็กซี่ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รวมถึงรถโดยสารประเภทอื่น เก็บค่าโดยสารมหาโหดมาแทบทั้งสิ้น เป็นการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวแบบต่อเนื่อง มานานหลาย 10 ปี รูปแบบเดิมๆ ยิ่งใจกลางเมืองหลวง ต่างระอาเพราะถูกปฏิเสธเมื่อเรียกใช้บริการ โดยเฉพาะย่านธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสาทร ทองหล่อ สีลม ชิดลม ประตูน้ำ เซ็นทรัลเวิลด์และย่านสยามพารากอน เป็นต้น เพราะบรรดาแท็กซี่หรือตุ๊กตุ๊กจะเน้นบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ถ้าใครไปทำธุระหรือกลับจากทำงาน ช่วงบ่ายถึงค่ำจะพบแท็กซี่หรือตุ๊กตุ๊ก จอดอยู่จำนวนมาก พอเข้าไปเรียกใช้บริการจะถูกปฏิเสธแล้วอ้างเหตุสารพัด ปล่อยให้ผู้ใช้บริการที่เป็นคนไทยยืนรอเก้อนานหลายชั่วโมง แต่พอเป็นชาวต่างชาติจะตอบรับทันทีเพราะสามารถเรียกค่าโดยสารในราคาแพงกว่าปกติได้
บางครั้งเจอคนไทยใจกล้าจะอัดคลิปปล่อยลงโซเซียล สื่อกระแสหลักนำไปขยายผลกลายเป็นประเด็นร้อน ทางกรมการขนส่งทางบก จะออกมาขยับกวดขันแบบไฟไหม้ฟาง แล้วโยนปัญหาไปให้ตำรวจจัดการแก้ไข ซึ่งปกติงานอำนวยการจราจรของตำรวจล้นมืออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการระบายรถไม่ให้ติดขัด คอยไล่ไม่ให้รถโดยสารจอดแช่หรือจอดรถผู้โดยสารนานเกินจำเป็น ต้องคอยมาไล่จับแท็กซี่หรือตุ๊กตุ๊กที่ปฏิเสธผู้โดยสารอีกหรือ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาโก่งราคาแพงเกินจริง หรือปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก ต้องยืนหนึ่งถือธงนำในการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเด็ดขาด เพราะปัญหาลักษณะนี้พอตำรวจจับกุมได้ต้องส่งผู้กระทำให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินตามกฎหมายทั้งปรับและลงโทษ ในความเป็นจริงเพื่อให้เข็ดหลาบกรมการขนส่งทางบก ควรปรับหรือลงโทษขั้นสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด แต่ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งฯมักจะบังคับใช้กฎหมายแบบประนีประนอม โชว์เฟอร์บางคนถูกพักอนุญาตขับขี่ยังไม่พ้นกำหนดก็ออกมาขับรถตามปกติแล้ว
นอกจากนี้กรมขนส่งทางบก ต้องทำงานเชิงรุกด้วยจัดชุดเฉพาะกิจพิเศษ ลงตรวจสอบตามจุดต่างๆที่มีเบาะแสว่ารถบริการสาธารณะ ทุกประเภท ปฏิเสธผู้โดยสาร เลือกบริการเฉพาะชาวต่างชาติ รวมถึงเรียกเก็บค่าโดยสารในราคาสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งวิธีการอาจจะปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างขาติแล้วไปใช้บริการ โดยวางกำลังไว้ในจุดที่จะให้ไปส่ง หากเรียกเก็บค่าโดยสารเกินจริงหรือแท็กซี่ไม่ขอเปิดมิเตอร์แต่ให้เหมาจ่าย ก็โอนอ่อนตามพอถึงจุดหมายจับกุมได้ทันที จากนั้นนำไปแถลงข่าวให้สังคมรับทราบ ซึ่งจะช่วยปรามพวกที่คิดจะกระทำผิดได้ด้วย วิธีการนี้ต้องสุ่มดำเนินการบ่อยๆ เพื่อป้องปราม หากหย่อนยานเมื่อใดพฤติกรรมจะกลับมาเหมือนเดิม
สาเหตุที่ต้องให้กรมการขนส่งทางบกเป็นงาน เพราะเป็นหน้าหลักและกฎหมายให้อำนาจเต็ม แต่ที่ผ่านมากรมการขนส่งฯมักจะโยนภาระนี้ให้กับตำรวจ แม้ตำรวจจะมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบล้นเหลืออยู่แล้วเพราะต้องทำแทบทุกอย่าง เช่นตำรวจจราจร นอกจากจะคอยอำนวยการจราจรแล้ว ยังต้องคอยสอดส่องพฤติกรรมของชาวบ้านบนท้องถนนเพื่อป้องกันเหตุอีกต่างหาก ครั้นจะให้ไปจับกุมรถขนส่งที่ปฏิเสธผู้โดยสาร หรือ โขกราคาค่าโดยสารแบบสุดโหด จะทำลำบาก เพราะจะจับกุมได้ต้องรับแจ้งจากผู้เสียหายเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อให้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสาร หรือโขกราคาค่าโดยสารเกินจริง ยุติแบบถาวรหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด กรมการขนส่งทางบกต้องถือธงนำในการแก้ปัญหาอย่าโยนภาระให้ตำรวจเลย เพราะต่างทราบกันดีในหมู่ข้าราชการด้วยกันว่าเจ้าหน้าที่กรมขนส่งทางบก มีสวัสดิการที่ดีเพราะมีปัจจัยเข้าหลายทาง จึงควรเร่งจัดปัญหาให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจบ้างเถอะ !!!