หากจับสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ พอประเมินได้ว่ารัฐบาลและกลุ่มอำนาจเก่าที่สนับสนุนรัฐบาล กำลังตกเป็นฝ่ายตั้งรับและคะแนนนิยมตกวูบ
ขอยกแค่ 3 ปรากฏการณ์ที่ฉุดให้เครดิตรัฐบาลและกลุ่มอำนาจเก่าลดลง
ปรากฏการณ์แรก การกลับมารับโทษของนายทักษิณ ชินวัตร ที่สังคมต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลไร้ความศักดิ์สิทธิ์ เลือกปฏิบัติ เพราะนับแต่นายทักษิณ เดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลพิพากษาจำคุก นายทักษิณ ถูกคุมตัวเข้าเรือนจำ ไม่ทันข้ามคืนเกิดอาการป่วยแบบปางตาย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจทันที นอนพักรักษาตัวจนครบกำหนดพักโทษ นายทักษิณกลับบ้านแบบสบายใจเฉิบ จนประชาชนทั่วไปต่างตั้งฉายาว่านักโทษเทวดาซึ่งการกลับมาของนายทักษิณ คอการเมืองต่างทราบว่ากันดีว่าจะมาเป็นหัวขบวนให้กลุ่มอำนาจเก่า ต่อสู้ชิงอำนาจทางการเมืองกับพรรคก้าวไกล
แต่ด้วยขั้นตอนการปฏิบัติทางกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติส่งผลให้เครดิตของรัฐบาลติดลบ คะแนนลดวูบ แถมบทบาทของนายทักษิณไม่ได้ช่วยกู้ศรัทธาให้กับรัฐบาลแต่อย่างใด
ซึ่ง นิด้าโพลสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 เมษายน น่าจะสะท้อนได้เป็นอย่างดี จากหัวข้อ”จากบทบาททักษิณถึงฝันของนายกฯเศรษฐา”เกี่ยวกับบทของนายทักษิณและความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ความเห็นร้อยละ 40.60 ระบุว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมาร้อย 33.21 ส่งผลกระทบในทางลบ เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ร้อยละ 39.47 ระบุว่าไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 18.85 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 17.94 บอกว่าค่อนข้างเห็นด้วย
ขณะที่ผลสำรวจของนิด้าโพลเดือนมีนาคม ถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวพรรคก้าวไกล นำโด่งร้อยละ 42.75 นายเศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 17.75 และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าเพื่อไทยได้แค่ร้อยละ 6.0 เท่านั้น
ปรากฏการณ์ที่ 2 การเดินทางไปดูงานต่างประเทศของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ที่จะหมดวาระในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น 81 ล้านบาท กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อโซเซียล ว่าไม่เหมาะสม ขาดวุฒิภาวะและขาดสามัญที่ดีของผู้ทรงเกียรติ
ปรากฏการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา ให้ตรวจพฤติกรรมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)คนหนึ่งว่าเป็นไปโดยมิชอบพร้อมอธิบายค่อนข้างละเอียดถึงการวิ่งเต้นเข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวพรรคพลังประชารัฐ ให้ช่วยเหลือ ข้อเท็จจริงเป็นประการใดต้องรอการพิสูจน์
ดังนั้นถ้ามองจาก 3 ปรากฏการณ์พอบอกได้ว่านี่คือพวกอภิสิทธิ์ชน อย่างกรณีของนายทักษิณ ไม่ต้องอธิบายความมากเพราะรู้กันทุกหย่อมหญ้า แม้แต่นายทักษิณเองถึงขั้นบอกว่าใครไม่ชอบก็อย่ามาสนใจ
กรณีของ สว.ต่างทราบกันดีว่าเป็นลมใต้ปีกให้เผด็จทหาร เป็นฐานอันมั่นคงให้กับกลุ่มอนุลักษณ์นิยม และคอยเป็นตัวแทนต่อสู้ทางความคิดกับคนรุ่นใหม่ที่มาในนามพรรคอนาคตใหม่ยันพรรคก้าวไกล แทนที่จะมีสำนึกที่ดีให้คนรุ่นใหม่รู้สึกยึดเป็นแบบอย่างได้ กลับเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม
หรือกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องเรียนให้ตรวจสอบมาของกรรมการ ป.ป.ช.บางคนว่าวิ่งเต้นให้ พล.อ.ประวิตร ช่วยจะจริงเท็จอย่างไร คนค่อนประเทศเชื่อไปแล้ว เพราะตลอดเวลาที่เผด็จทหารครองอำนาจมีข่าวเป็นระยะว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระล้วนแต่มาจากเครือข่ายของ 3 ผู้นำเผด็จการทหารทั้งสิ้น
ทั้ง 3 ปรากฏการณ์หากสืบเสาะข้อมูลในสื่อโซเซียลจะพบว่ามีการขุดข้อมูลขึ้นมาขยายความอย่างกว้างขวาง แฉเบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมถึงการล้อเลียนเชิงประชดประชันว่าเป็นบุคคลหรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือกฎหมาย ดำรงตนแบบมือถือสากปากคาบคัมภีร์
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เชื่อว่าประชาชนที่วัยเกิน 40 ปี ขึ้นไปคงจะไม่สบอารมณ์แน่นอน ขณะที่คนรุ่นใหม่ระอาอยู่แล้ว โดยสะท้อนผ่านการทุ่มเลือกพรรคก้าวไกล เพื่อให้ประเทศเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คงระอาหนักกว่าเดิม
ดังนั้นถ้าจะสรุปว่าทั้งสามปรากฏการณ์นี้คือตัวช่วยเพิ่มคะแนนนิยมให้พรรคก้าวไกล ทางอ้อมคงไม่ผิดนัก !!!