“ก้าวไกล” รับหลักการร่างแก้ไข พ.ร.ก.ประมงทุกฉบับ “พิธา” ชี้ร่างฯ “ก้าวไกล” เน้นการมีส่วนร่วม ไม่เอาอำนาจนิยม ตะลึงแค่ 6 ปี ชาวประมงเป็นผู้ต้องหา 4,632 คน ยอดซื้อขายตก 25 % รง.แปรรูปหาย 24% ฝากรัฐบาลมองวิสัยทัศน์ประมงในอนาคต ต้องพัฒนา ศก.ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มเทคโนโลยียกระดับวิถีชีวิตชาวประมง
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการนำร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ทั้ง 7 ฉบับที่เสนอโดยพรรคการเมืองต่าง ๆ กลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้ขอนำร่างฯ ทั้ง 7 ฉบับไปศึกษาอีก 15 วัน ก่อนจะเสนอร่างของคณะรัฐมนตรีประกบเข้ามาสู่การพิจารณาร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ รวมเป็น 8 ฉบับ
ทั้งนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมการอภิปรายเพื่อสนับสนุนหลักการสำคัญของทุกร่างฯ ให้ผ่านวาระที่ 1 โดยระบุว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการเตือนสติสมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมวันนี้ว่า พ.ร.ก.ประมงประกาศบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2558 ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว สภาฯ ถึงเพิ่งจะได้เริ่มอภิปรายร่างแก้ไข พ.ร.ก.ประมง ก่อนสมัยสภาฯ จะสิ้นสุดลงจนทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไปรอบหนึ่งแล้ว แสดงให้เห็นถึงแรงเฉื่อยของสภาฯ แห่งนี้ในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
นายพิธากล่าวว่าในปี 2558 ที่มีการออก พ.ร.ก.ประมง กฎหมายและระเบียบของสหภาพยุโรปมีสถานะเป็นเพียงกฎหมายภายในภูมิภาค ที่สมาชิกสหภาพยุโรปจะต้องปฏิบัติตามเท่านั้น แต่ประเทศไทยกลับต้องปฏิบัติตามด้วย เพราะมิฉะนั้นจะไม่สามารถส่งสินค้าประมงไปขายสหภาพยุโรปได้ อย่างไรก็ดีแม้ไทยส่งออกสินค้าประมงราว 2 แสนล้านบาทต่อปี แต่ส่งออกไปยุโรปแค่ร้อยละ 6.7 เท่านั้น แต่คนที่ต้องรับกรรมคือชาวประมงทุกคนไม่ว่าจะส่งออกไปยุโรปหรือไม่ นี่คือความอยุติธรรมตลอด 10 ปีที่ผ่านมา วันนี้จึงเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกคนจากทุกพรรคจะรับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ ตั้งกรรมาธิการ และผ่านกฎหมายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ประธาน ทปษ.หน.พรรคก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า ผลกระทบของอุตสาหกรรมประมงที่เกิดขึ้นนั้นหนักและยาวนานมาก ระหว่างปี 2560-2566 การส่งออกสินค้าทางการประมงลดลงไปร้อยละ 11 โดยต้องไม่ลืมว่าการส่งออกไม่ได้มีแค่การจับปลา แต่ยังมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ สะพานปลา การขนส่ง รวมถึงโรงงานน้ำแข็ง ตัวเลขที่หายไปสะท้อนความซบเซาผ่านจำนวนผู้ซื้อปลา-แพปลา จาก 2,006 เที่ยวต่อวันในปี 2558 ลดลงเหลือเพียง 1,597 เที่ยวต่อวันในปี 2564 หรือหายไปร้อยละ 25 ยังไม่รวมอุตสาหกรรมโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำเค็มที่หายไปอีกร้อยละ 24 ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ในแง่ของเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ชาวประมงกว่า 4,632 คนต้องกลายเป็นผู้ต้องหา ต้องรับโทษปรับ จำคุก เล่นกันจนถึงขนาดบีบให้ชาวประมงต้องขายเรือไปเป็นจำนวนมาก
การปรับตัวให้สอดคล้องกับหลักการ IUU Fishing ไม่ใช่ปัญหา แต่รัฐบาลต้องให้โอกาสชาวประมงในการปรับตัวด้วย ไม่ใช่ปรับจนล้มละลาย มีกฎหมายแล้วก็ต้องมีระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน และมีกองทุนประมงที่ทำให้เขาสามารถปรับตัวได้ แน่นอนว่ากฎหมายต้องทำให้ถูกต้องและศักดิ์สิทธิ์ แต่มันได้สัดส่วนหรือไม่กับอาชญากรรมที่เขาก่อ
“เพราะฉะนั้นถ้ามีกฎหมายที่เข้มแข็ง ไม่เป็นอำนาจนิยมมากเกินไป และมีส่วนร่วมจากชาวประมง ชาวประมงก็จะไม่ต่อต้านหรือไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้ กระบวนการในการปรับปรับไปในทิศทางหนึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ความเร็วในการบังคับใช้ก็ต้องค่อย ๆ ปรับตัว ไม่ใช่การที่รัฐออกกฎหมายมาทุ่มใส่ชาวประมงอย่างเดียว แต่รัฐต้องทุ่มความช่วยเหลือและงบประมาณให้ชาวประมงสามารถที่จะลืมตาอ้าปากและปรับตัวไปได้ด้วย” พิธากล่าว
พิธากล่าวต่อไปว่า นี่คือการเดินทางร่วมกันของรัฐและชาวประมงอย่างมีส่วนร่วม ตนจึงขอเรียกร้องให้สภาฯ แห่งนี้นอกจากจะรับหลักการร่างฯ ของ ครม.และพรรคอื่น ๆ แล้ว ยังอยากให้รวมร่างของพรรคก้าวไกลเข้าไปพิจารณาด้วย เพราะร่างฯ ของพรรคก้าวไกลเชื่อในการส่งเสริมศักยภาพของชาวประมง การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลในระยะยาว และเน้นให้ท้องถิ่นดูแลทรัพยากรของตัวเอง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
นอกจากนี้ ร่างฯ ของพรรคก้าวไกลจะมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการประมงจังหวัด” ที่จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการประมงตามความเหมาะสมของพื้นที่ ไม่ใช่การตัดเสื้อตัวเดียวเป็นเสื้อโหลให้ทุกคนใส่เหมือนกัน เช่น สามารถขยายขอบเขตการทำประมงและการอนุรักษ์เป็น 12 ไมล์ทะเลได้ ทั้งนี้ องค์ประกอบของคณะกรรมการประมงจังหวัดจะต้องมีสัดส่วนจากภาคประชาชนไม่น้อยกว่า 4 คน โดยให้ประธานเป็นนายก อบจ.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตำแหน่ง และให้มีตัวแทนจากเทศบาลและ อบต.ด้วย
พิธากล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญอีกประการที่จะขาดไม่ได้ ก็คือวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการประมงของประเทศไทย ที่ตนขอให้คณะกรรมาธิการ คณะรัฐมนตรี และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องคำนึงถึง 3 หลักการสำคัญ กล่าวคือ การรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรประมง ต้องนึกถึงคำว่า “Blue Economy” หรือการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเปลี่ยนหลักคิดจาก “จับมากได้น้อย” เป็น “จับน้อยได้มาก”
วิถีชีวิตชาวประมง ต้องเปลี่ยนจากการใช้กฎหมายบีบบังคับเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีให้ชาวประมง โดยคิดถึงเรื่อง “Precision Fishery” เช่น ออกแบบอวนที่มีช่องให้สัตว์น้ำอนุบาลสามารถลอดออกไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังคำนึงถึง สุดท้ายคือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ต้องใช้เทคโนโลยีชีวภาพการประมง (Marine Biotechnology) ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าประมง มากกว่าจะเป็นเพียงแค่การทำประมงในพื้นที่ทางทะเล ซึ่งมีความเป็นไปได้มากมายที่รอเราอยู่
“เพียงแต่เราจำคีย์เวิร์ด 3 คำนี้ไว้ ก็จะสามารถเห็นได้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าการประมงของประเทศไทยหน้าตาจะเป็นแบบใด ที่มีทั้งสมดุลในเรื่องของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวประมง และที่สำคัญ คือการทำให้การประมงเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยต่อไปชั่วนิรันดร” พิธากล่าว