กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อ น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ให้สัมภาษณ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.)และพล.ต.ท.ศักดิ์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(ผบช.ทท.)ยืนขนาบข้าง หลังหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก่อนบินไปประชุมที่สหรัฐอเมริกาว่า นายกรัฐมนตรีได้ติดตามเรื่องความปลอดภัย คุณภาพสินค้าและการบริการที่จะให้กับนักท่องเที่ยว
“ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีน จะคุยกับทูตจีน เกี่ยวกับโครงการลาดตระเวนที่จะนำตำรวจจากจีนมาลาดตระเวนตามเมืองท่องเที่ยวของไทยทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เมื่อโครงการนี้ออกมาจะทำให้เห็นความพร้อมในการยกระดับนักท่องเที่ยวในเรื่องความปลอดภัยและมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนช่วง 2 เดือนสุดท้ายเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 4-4.4 ล้านคน”น.ส.ฐาปนีย์ ระบุ
จากนั้นชี้แจงถึงเหตุผลว่า”ต้องการให้ตำรวจจีนเห็นการทำงานของไทยว่าเรายกระดับความปลอดภัยอย่างไรบ้าง ให้เขาเป็นกระบอกเสียงส่งต่อให้นักท่องเที่ยวจีน เพราะคนจีนกลัวตำรวจจีนมาก ถ้าตำรวจของเขามาแสดงความมั่นใจในเมืองไทย จะช่วยยกระดับความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีนอีกระดับหนึ่ง”
ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหลากหลายประเด็นอาทิ ตำรวจไทยไร้ศักยภาพในการทำหน้า รวมถึงเรื่องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศ
จน นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล เร่งออกมาชี้แจงว่า ไม่ตรงข้อเท็จจริง ความจริงแค่มาร่วมมือกันทำงานและให้ข้อมูลเบาะแสเพื่อให้ตำรวจไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าประเทศไทยเป็นเอกราช ทำไมต้องใช้ตำรวจจีนมาลาดตระเวน
ขณะที่นายเศรษฐา ออกมาปฏิเสธข้ามประเทศว่า ไม่ได้สั่งให้เอาตำรวจจีนมาร่วมลาดตระเวน เพียงแต่ถ้ามีความร่วมมือเกิดขึ้นในแง่ของการประสานข้อมูลกับทางตำรวจจีน เชื่อว่าจะให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่ามีตำรวจจีนมาเดินบนถนนเมืองไทย คงเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดมากกว่า
เมื่อมองบริบทโดยในวงประชุมก่อนนายเศรษฐาบินไปอเมริกา พออนุมานได้ว่ามีการหารือที่จะนำตำรวจจีนมาลาดตระเวนจริง แต่เมื่อ น.ส.ฐาปนีย์ ออกมาแถลงถูกกระแสตีกลับโดนวิจารณ์อย่างหนักเลยกลับลำ
ซึ่งรัฐบาลควรขอบคุณ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ที่ออกมาดับกระแสดราม่าได้สนิท หลังคณะกรรมาธิการฯชุดนายโรม เป็นประธานหารือกับพล.ต.อ.ต่อศักดิ์
นายโรมแถลงว่า ทุกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาในราชอาณาจักร ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย ตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว
ประเด็นดรามานี้ส่งผลให้ น.ส.ฐาปนีย์ เสียรางวัดพอสมควร แต่ในคำสัมภาษณ์อีกประเด็นหนึ่งที่พอมองได้ว่าเสียรางวัดเช่นกันคือการพึ่งพาให้ตำรวจจีนช่วยเป็นกระบอกเสียงส่งต่อให้นักท่องเที่ยวจีน มั่นใจว่าประเทศไทยปลอดภัย
ถ้ามองในเชิงการประชาสัมพันธ์คงจะไม่บรรลุผลเท่าที่ควร เพราะเมื่อตำรวจจีนกลับไปโอกาสที่จะไปสื่อสารนั้นยากมาก เนื่องจากช่องทางการสื่อสารในจีนสำหรับเจ้าหน้าที่นั้นทำลำบาก
แนวทางที่ดี ททท.ซึ่งมีงบประชาสัมพันธ์จำนวนมากอยู่แล้ว ดูได้จากการไปโรดโชว์ในต่างประเทศแต่ละครั้ง ททท.เชิญสื่อไทยไปทำข่าวบริการแบบจัดหนักจัดเต็ม ทั้งระดับผู้สื่อข่าวธรรมดา พวกบิ๊กสือสำนักต่างๆ เดินทางไปแบบกินหรูอยู่ดี ด้วยเงินภาษีของชาวบ้าน
ขณะเดียวกันจัดเต็มในรูปแบบโฆษณาผ่านสื่อหลักๆ รวมทั้งจ้างพวกคอลัมนิสต์ดังๆเป็นที่ปรึกษา บางครั้งจ้างบริษัทของที่ปรึกษาจัดอีเว้นท์อีกต่างหาก
ดังนั้นเมื่ออยากประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวไทยให้คนจีนเห็น ควรจะเจียดงบสักก้อนที่ปรนเปรอสื่อไทยแบบกินหรูอยู่ดี ด้วยการเชิญสื่อจีนตามมณฑลหลักๆมาท่องเที่ยวเมืองไทยแล้วให้พวกเขากลับไปช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของไทย น่าจะดีกว่ายืมมือตำรวจจีนที่แทบจะไร้ทางสื่อสารเป็นกระบอกเสียง
ซึ่งแนวทางนี้ ททท.เคยทำมาก่อน ที่เชิญสื่อประเทศเป้าหมายเปิดตลาดการท่องเที่ยว ถ้าจะทำกับประเทศจีนคงจะได้ผลดีกว่าเอาตำรวจจีนมาเดินตระเวนในเมืองไทยแล้วไปถ่ายทอด
แม้ว่ารัฐบาลและททท. หวังบูมการท่องเที่ยวมากแค่ไหน ไม่ควรที่ดึงเจ้าหน้าที่จากประเทศอื่นมาทำหน้าที่ในประเทศไทย เสมือนการดูแคลนศักยภาพของเจ้าหน้าที่ไทย และยังสะท้อนถึงความไร้น้ำยาในการบริหารประเทศของรัฐบาลอีกต่างหาก
ถ้านายกรัฐมนตรีและผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีแนวคิดเพียงหวังจะเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวจนละเลยอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศ ควรสละเก้าอี้ไปทำหน้าที่อื่นที่ถนัดดีกว่าไหม ?