ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(รองผบช.ทท.)พ.ต.อ.อาชายน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พร้อมตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจ 191 แถลงการจับกุม MR.DAMIEL JIAN TAN WEI (นายเดเมียน เจียน ทัน เหว่ย) อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาสัญชาติสิงคโปร์ พร้อมของกลางเป็นนาฬิกาหรูทั้งยี่ห้อRolex ,Omega ,Patek phllilp , IWC ซึ่งมีเครื่องหมายการค้าปลอม จำนวน 22 เรือน อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยี่ห้อ NORINGO จำนวน 1 กระบอก พร้อมด้วยลูกกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 10 นัด โดยชุดสืบสวนจับกุมได้บริเวณห้องพักชั้น 20 อาคารชุดย่านลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่20 มิถุนายนที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวเนื่องด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนกองกำกับการท่องเที่ยว ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีบุคคลชาวต่างชาติมีพฤติการณ์ขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ สินค้าลอกเลียนแบบ ปลอมเครื่องหมายการค้า ประเภทนาฬีกาหรูหลายยี่ห้อ จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวจนทราบว่ามีเพจเฟสบุ๊คเป็นหน้าร้านชื่อ IMTIME.TH เปิดจำหน่ายสินค้าประเภทนาฬิกาหลายยี่ห้อ โดยมีพฤติการณ์ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แต่ต้องชำระค่าสินค้าก่อนครึ่งหนึ่งจึงจะทำการสั่งสินค้าให้ และให้ชำระสินค้าอีกครึ่งหนึ่งเมื่อได้รับสินค้า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนติดต่อสอบถามและสั่งซื้อจนได้รับสินค้า จึงได้ทราบว่านาฬิกาที่นำมาจัดจำหน่ายนั้นเป็นนาฬิกาที่มีราคาต่ำกว่าราคาตามท้องตลาด จึงน่าเชื่อว่าผู้จัดจำหน่ายได้จัดจำหน่ายนาฬิกาที่ละเมิดหรือปลอมเครื่องหมายการค้า และมีกำไรจากการประกอบธุรกิจจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้ได้ประสานไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเพื่อบูรณาการวางแผนจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว
รอง ผบช.ทท. กล่าวอีกว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหารับสารภาพว่า รับนาฬิกาผ่านทางไปษณีย์มาจากประเทศจีนในราคาเรือนละประมาณ 2,000 บาท นำมาขายต่อในเฟสบุ๊ค แฟนเพจเรือนละ 10,000 ถึง 20,000 บาทโดยยี่ห้อที่ขายดีมากที่สุดคือยี่ห้อ Patek ผู้ต้องหารับสารภาพว่าทำมานานกว่า 5 ปี ได้กำไรต่อเดือน 70,000 ถึง 80,000 บาท จากการตรวจสอบประวัติการเดินทาง พบว่า นายเดเมียน เจียน ทัน เหว่ย ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ.2557 และได้อยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุดหรือโอเวอร์สเตย์ เบื้องต้น พนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อกล่าวหา คือ 1.มีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้ จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร 2.เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดหรือโอเวอร์สเตย์และ 3.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไมได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
ในเวลาต่อมา พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ และทีมงาน ยังได้แถลงการจับกุม น.ส.วิวรรณ ญาณเรือง อายุ 52 ปี นายสุรัตน์ เทียนไชย และพวกรวม 4 ราย ผู้ต้องหาร่วมกันเป็นนายหน้าชักชวนคนไปทำงานเป็นพนักงานแก๊งค์คอลเซนเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมยึดของกลางบัญชีธนาคาร ,หนังสือเดินทางพาสสปอร์ต,โทรศัพท์มือถือจำนวนหนึ่ง จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับการติดต่อจาก นายผายกู๋ ชาวไต้หวัน หัวหน้ากลุ่มแก๊งค์คอลเซนเตอร์ เพื่อจัดหาคนไปทำงานเป็นพนักงานคอลเซนเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยจะได้ค่านายหน้าในการจัดหาคนไปทำงาน รายละ 10,000 บาทและมีค่าเปอร์เซ็นส่วนต่างให้อีก
รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมและทลายแก๊งค์คอลเซนเตอร์ กลางกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์สามารถ จับกุมผู้ต้องหาชาวไทย จำนวน 16 รายและชาวไต้หวันจำนวน 3 ราย จึงสืบสวนขยายผล ตรวจเชคโทรศัพท์มือถือจนนำมาสู่การจับกุม โดยจากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาทำมานานกว่า 4-5ปี แล้ว
พร้อมยืนยันว่าขบวนการแก๊งค์คอลเซนเตอร์ในไทยไม่มีหลงเหลือแล้ว กลุ่มคนร้ายไม่กล้าหลอกคนไทยในแผ่นดินไทยแต่พบว่ามีการหลอกไปเป็นพนักงานแก๊งค์คอลเซนเตอร์ในต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการสืบสวนขยายผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะรอการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่ประเทศ จีน กัมพูชา ดูไบ เนื่องจาก มั่นใจว่ายังมีนายหน้าที่หลอกคนไทยไปทำงานในลักษณะเดียวกันอีก พร้อมเตือนไปยังผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้เลิกทั้งหมดไม่เช่นนั้นจะต้องถูกดำเนินคดี
ด้าน นายสุรัตน์ 1ในผู้ต้องหาทำหน้าที่เป็นล่ามกล่าวว่า ได้คุยกับหัวหน้าแก๊งค์ผ่านทางวีแชท ส่วนการชักชวนเหยื่อจะบอกกับเหยื่อว่าโดยตรงว่าจะพาไปทำงานเป็นพนักงานคอลเซนเตอร์โดยให้ค่าตอบแทนที่สูง ตั้งแต่เดือนละ 25,000-30,000บาท โดยบางคนไปทำเพียง5เดือน ได้เงินค่าจ้างจำนวนกว่า1ล้านบาท ขณะที่บางส่วนถูกหลอกไปทำงานเป็นคนสวนในฟิลิปปินส์ เบื้องต้นตำรวจได้ดำเนินคดีข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่สมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร ร่วมกันมีส่วนตาม พรบ.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นบทลงโทษหนัก
รอง ผบช.ทท.กล่าวว่า นอกจากขบวนการแก๊งค์คอลเซนเตอร์แล้ว ตำรวจจะเดินหน้ากวาดล้างจับกุมแก๊งค์โแมนซสแกรมและดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบให่หมดไปจากประเทศไทย และจะดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนอัน เป็นความผิดตาม พรบ.ฟอกเงินฯซึ่งได้ประสานกับ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดแล้ว