“กนกวรรณ” ดันงาน กศน.สร้างคน สร้างงาน ขานรับครม.สัญจร

วันที่​ 11​ พ.ย.62 ณ กศน.อำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี​ : ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานตามโครงการและนโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดกาญจนบุรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1/62 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (กาญจนบุรี,ราชบุรี และสุพรรณบุรี) พร้อมด้วย​ นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ,นายสมเกียรติ ตันดิลกตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ,นายพะโยม ชิณวงศ์ หัวหน้าคณะทำงาน รมช.ศึกษาธิการ ตลอดจนคณะผู้บริหารทุกสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ

จุดแรกได้ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานโครงการตามนโยบาย ของหน่วยงานในสังกัดสำนักงาน กศน. ณ กศน.อำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เพื่อการรับทราบปัญหาต่าง ๆ และข้อเสนอแนะจากข้าราชการ นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่เพื่อนำเสนอในที่ประชุมครม.ซึ่งมีการนำเสนอผลการดำเนินงานและกิจกรรมการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของสถานศึกษาใน 3 จังหวัด ได้แก่ สำนักงาน กศน.จ.กาญจนบุรี สำนักงาน กศน.จ.ราชบุรี และสำนักงาน กศน.จ.สุพรรณบุรี เข้าร่วมนำเสนอในประเด็นต่างๆ ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ศูนย์จำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ออนไลน์ กศน. (OOCC) ห้องเรียนออนไลน์ยุคใหม่ โครงการ กศน.WOW ขับเคลื่อนสู่ กศน.ดิจิทัล 6G เป็นต้น

ดร.กนกวรรณฯ เปิดเผยหลังจากรับฟังและเยี่ยมชมผลงานของ กศน. ว่า “ในเรื่องของนโยบายที่วางไว้ก็เริ่มเดินหน้า สิ่งใดที่รับปากว่าจะช่วยปรับให้ถูกต้อง เหมาะสม เข้าที่เข้าทางแก้ไขในสิ่งที่สามารถทำได้มากที่สุด เพื่อที่จะให้ทำให้นโยบายนั้นสามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายให้มีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างขวัญกำลังใจของครู กศน.ตำบลที่ขาดโอกาสไม่มีความก้าวหน้า เป็นปัญหาตั้งแต่มารับตำแหน่ง ปัญหานี้ก็กำลังถูกแก้ไข เดินหน้าที่จะให้ทำให้ครู กศน. สามารถมีคุณสมบัติที่จะสามารถเป็นครูได้ ซึ่งจะต้องให้ครู กศน.ได้รับโอกาสตรงนั้นก่อน

ในวันนี้ได้เห็นการขับเคลื่อนกิจกรรมด้านส่งเสริมการอ่านของ กศน.ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยสำนักงาน กศน.จังหวัดกาญจนบุรี ได้ดำเนินการตามโครงการพัฒนากาญจนบุรีสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ โดยกำหนดขับเคลื่อนภายใต้คำขวัญ “เมืองนักอ่าน คนกาญจนบุรี” ด้วยการจัดกิจกรรมตาม PDCA อย่างครบวงจร ครอบคลุมไปถึงการพัฒนาบุคลากรภาคีเครือข่าย แหล่งเรียนรู้ สื่อส่งเสริมการอ่าน และขยายผลเมืองแห่งการเรียนรู้ ที่สร้างผลลัพธ์ที่มีความชัดเจน

ส่วนสำนักงาน กศน.จังหวัดราชบุรี ได้นำเสนอห้องสมุดเคลื่อนที่ของชาวตลาด และแอปพลิเคชันห้องสมุดมือถือ กศน.จังหวัดราชบุรีที่มีความน่าสนใจ และที่สำคัญสำนักงาน กศน.จังหวัดสุพรรณบุรี ได้นำเสนอนวัตกรรมภายใต้แนวคิด “ปันการอ่าน ผ่านรถบริการอาหารสมอง” โดยใช้รถ 3 รูปแบบเป็นตัวกลางในการนำอาหารสมองบริการสู่กลุ่มเป้าหมายมานำเสนอ นับเป็นการขยายผลการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้สู่ชุมชน โดยการนำรูปแบบจากการพัฒนาและองค์ความรู้จากภูมิปัญญาในพื้นที่ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ต้นแบบผ่านกิจกรรมของ กศน.ในรูปแบบที่หลากหลาย รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร บรรณารักษ์ ครู กศน.ตำบล และภาคีเครือข่ายให้มีศักยภาพในการส่งเสริมการอ่าน

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้กศน.ได้ริเริ่มดำเนินการสร้างชุมชน เพื่อพัฒนาพื้นที่สู่เมืองแห่งการเรียนรู้ ทำให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านและให้ความสนใจกับกิจกรรมที่สำนักงาน​ กศน.จังหวัด​ จัดทุกกิจกรรม แต่ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่สามารถอ่าน เขียนภาษาไทยไม่ได้ และกลุ่มผู้ลืมหนังสือเป็นจำนวนมาก จึงขอให้ กศน.เป็นหน่วยงานหลักในการร่วมสร้างให้ประชาชนเกิดวัฒนธรรมรักการอ่านนำไปสู่ชุมชนแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงในทุกพื้นที่ และปัญหาในการส่งเสริมการอ่านที่สำคัญอีกเรื่อง คือ เรื่องของเทคโนโลยีที่ติดลิขสิทธิ์ แล้วเป็นข้อจำกัดที่ กศน. เคยทำไม่ได้ ได้มอบนโยบายให้ทางเลขา กศน.หาวิธีการในการแก้ไขกฎระเบียบอย่างไรจะทำให้คนไทยทั้งประเทศสามารถที่จะเข้าถึงการอ่านกับ กศน.ได้ ทั้งในสื่อดิจิทัล สื่ออิเลคทรอนิคส์ สื่อสิ่งพิมพ์และ สื่อการเรียนรู้ต่างๆที่เป็นเล่ม

นอกจากนี้จะต้องวางแผนการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ให้สามารถเข้าสื่อกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพาหนะ หรืออุปกรณ์เสริมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเชื่อมโยงสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทุกพื้นที่ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาตามนโยบายที่วางไว้”

“งาน กศน. นับวันยิ่งจะต้องทำให้กว้างไกล เพราะกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนทั่วประเทศ ที่ไม่เพียงประสบปัญหาด้านความไม่เสมอภาคทางการศึกษา แต่ยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในหลายๆด้านที่สะท้อนกลับถึงชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน การเดินหน้าตามนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล ให้เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ข้อจำกัดมีมากมายที่เกิดขึ้นจะค่อยๆทลายลง ซึ่งเป็นมิติที่ดีวันนี้ที่การลงพื้นที่ ครม. สัญจร ทำให้หน่วยงานทุกสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการได้มาระดมรับฟังปัญหาและความสำเร็จของพื้นที่ เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนไปสู่การพัฒนาร่วมกัน ดังนั้นการช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างขวัญกำลังใจครู กศน. ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วทุกอย่างจะค่อยๆมีทางออกและจะคลี่คลายในที่สุด ตนเองคาดหวังว่าจะทำงานให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพดังที่นโยบายรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งใจไว้

ซึ่งตนมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาครู เมื่อได้ทำไปแล้ว ก็จะทำต่อเนื่อง ขวัญกำลังใจมาอันดับ 1 คนเรามีขวัญกำลังใจดียิ่งจะมีความสุขที่จะทำงานได้ทุกอย่าง ดังนั้น ขอให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงศึกษาธิการร่วมบูรณาการการทำงานเชิงรุกในทุกมิติ อย่างเป็นเอกภาพ ส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การทำให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยมีความรู้ ความสามารถและมีสติปัญญา ขอให้ช่วยจับมือกันในทลายทุกข้อจำกัดทางการศึกษาสร้างและเสริมทักษะให้ผู้เรียนมีความรู้ มีศักยภาพ มีความรู้ มีอาชีพและมีรายได้ต่อไป สอดคล้องกับนโยบายที่รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงศึกษาธิการย้ำมาโดยตลอด คือ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” รมช.ศธ.กล่าวในที่สุด

ทุนธนชาต (TCAP) ปลื้มได้รับผลการสำรวจการกำกับดูแลกิจการที่ดี ระดับ “ดีเลิศ”

TCAP ปลื้ม ได้รับรางวัลการกำกับดูแลกิจการที่ดีระดับ “ดีเลิศ” จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2562 ที่จัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย  และยังได้รับการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนน 97 คะแนน จากการจัดโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยด้วย

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า นับเป็นอีกปีหนึ่งแห่งความภาคภูมิใจของ TCAP ในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยได้รับผลการสำรวจการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับ “ดีเลิศ” จาก “โครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2562 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2019: CGR)” ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยสถาบันส่งเสริมกรรมการบริษัทไทย ทำการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 677 บริษัท และมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับผลการสำรวจอยู่ในกลุ่ม “ดีเลิศ” ซึ่งเป็นกลุ่มที่คะแนนสูงสุดอยู่เพียง 177 บริษัท โดย TCAP เป็นหนึ่งบริษัทในกลุ่ม “ดีเลิศ” และได้รับตราสัญลักษณ์ของคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ 5 ดาว

นอกจากนี้ TCAP ยังได้รับการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนน 97 คะแนน จาก “โครงการการประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2562 (AGM Checklist)” จัดโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย  ซึ่งเป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

จากผลสำรวจและการประเมินสะท้อนให้เห็นว่า TCAP ให้ความสำคัญในการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อให้องค์กรก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถึงการดำเนินงานของ TCAP ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต

ทั้งนี้ TCAP มีการทบทวนนโยบายการกำกับดูแลกิจการ รวมทั้งการรายงานการปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการของ TCAP เป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พร้อมทั้งปรับปรุงจรรยาบรรณทางธุรกิจ รวมถึงจรรยาบรรณกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน เพื่อเป็นกรอบในการปฏิบัติสำหรับบุคลากรในองค์กร อีกทั้งมีการเสริมสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ทั้งในเชิงนโยบายและการดำเนินกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบให้กับพนักงานในกลุ่มธนชาตอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การออกแบบหลักสูตรอบรมต่างๆ ที่จะมีการสอดแทรกเนื้อหาการปฏิบัติงานที่อยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณตามหลักวิชาชีพ โดยเฉพาะหลักสูตรปฐมนิเทศที่มุ่งเน้นให้พนักงานที่เข้าร่วมงานกับกลุ่มธนชาตตระหนักถึงการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงได้เพิ่มศักยภาพช่องทางการอบรมผ่านสื่อ E-learning ให้พนักงานได้เข้าถึงการอบรม เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการทำงานได้ง่ายขึ้น และมีการทดสอบความเข้าใจเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังมีโครงการ “ธนชาต…ทำได้ ธรรมดี CG…ริเริ่ม เติมธรรม” โดยใช้วีดิทัศน์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารแก่พนักงานผ่านระบบโทรทัศน์ภายใน โดยมีจุดมุ่งหมายอันสำคัญในการให้บุคลากรทุกคนในองค์กรเข้าใจการกำกับดูแลกิจการที่ดี และสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

กองปราบรวบช่างก่อสร้างฆ่าเพื่อนเหตุทวงเงินพนันไฮโล และเป็นผู้ต้องหาตามปฏิทิน นครบาล 5 ปี 2559

วันที่ 12 พย.2362 กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยการอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ,พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบก.ป.สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก 5 บก.ป., พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์ รองผกก.5. บก.ป. ปฏิบัติการโดย พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ สว.กก.5. บก.ป., ร.ต.อ.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศฺ รอง สว.กก.5 บก.ป.

ได้ร่วมกันจับกุมตัว
นายวิระชาญ สุวะมาตย์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135 หมู่ 6 ตำบลสงเปือย อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดพระโขนงที่ ส.1830/2551 ลง 6 สิงหาคม 2551 ซึ่งต้องหาว่า “ฆ่าผู้อื่น”

โดย นายวิระชาญ สุวะมาตย์ (ผู้ต้องหา) และ นายศิริ ยอดขำ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112 ม.6 ต.คลองม่วง อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา (ผู้ตาย) ทำงานเป็นช่างก่อสร้างอยู่ด้วยกัน โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านพักคนงานก่อสร้าง ในซอยลาซาล 2 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 22.30 น. นายวิระชาญฯ และ นายศิริฯ ได้ตั้งวงดื่มสุราอยู่บริเวณบ้านพักคนงานดังกล่าว เมื่อทั้งสองคนเมาได้ที่ นายวิระชาญฯ ได้พูดทวงเงินจาก นายศิริฯ ที่ นายศิริฯ เคย ติดหนี้การพนันไฮโลไว้ เป็นเหตุให้ทั้งสองคนมีปากเสียง จนถึงขั้นทะเลาะชกต่อยกัน จากนั้น นายศิริฯ ได้หยิบท่อนไม้ที่วางอยู่บริเวณดังกล่าวขึ้นมา แล้วตีเข้าที่แขนของ นายวิระขาญฯ จำนวน 1 ครั้ง นายวิระชาญฯ โมโหที่ถูก นายศิริฯ ใช้ไม้ตี จึงเดินกลับมาที่ห้องพัก เพื่อหยิบมีดทำครัวยาวประมาณ 5 นิ้ว แล้วเดินกลับไปหา นายศิริฯ อีกครั้ง ใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทง นายศิริฯ เข้าที่บริเวณหน้าอกจำนวน 2 ครั้ง และที่แขนอีกจำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ นายศิริฯ เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากนั้น นายวิระชาญฯ ได้หลบหนีไป พนักงานสอบสวน สน.บางนา จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาต่อศาล

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตรวจสอบจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ในคดีอุฉกรรจ์และคดีสำคัญต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงทำการตรวจสอบผู้ต้องหาตามหมายจับ นายวิระชาญ สุวะมาตย์ มีคดี ฆ่าผู้อื่น” จากการสืบสวนติดตามผู้ต้องหารายนี้ทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีมาประกอบอาชีพเป็นช่างก่อสร้าง และพักอาศัยอยู่ที่บริเวณพื้นที่หมู่ 5 ตำบลหนองไข่น้ำ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา พบ นายวิระชาญฯ ผู้ต้องหา อยู่บริเวณหน้าร้านขายของชำไม่มีชื่อ หมู่ 5 ตำบลหนองไข่น้ำ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จึงจับกุมตัวและนำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางนา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป (ตามปฏิทินหมายจับของกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ปี พ.ศ.2559 / หลบหนีคดีนาน 11 ปี)
จากการซักถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

เคทีซีชวนสมาชิกนักวิ่งร่วมช้อป พร้อมลุ้นแพ็คเกจญี่ปุ่น กับแคมเปญ “วิ่ง – กิน – เที่ยว เรื่องเดียวกัน” ตอน Ohayo Fuji San!

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช  ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญเอาใจสมาชิกนักวิ่งต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 “วิ่ง – กิน – เที่ยว เรื่องเดียวกัน” ตอน Ohayo Fuji San! เพียงมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีกับร้านค้าที่ร่วมรายการ ในหมวดกีฬาและฟิตเนสทุก 1,000 บาท รับ 1 สิทธิ์ในการร่วมสนุกลุ้นรางวัลใหญ่แพ็คเกจ วิ่ง – กิน – เที่ยว ญี่ปุ่น โดยลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง 1) SMS พิมพ์ RT เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ส่งมาที่เบอร์ 061 384 5000 (ค่าบริการครั้งละ 3 บาท) หรือ 2) เว็บไซต์ www.ktc.co.th/RT ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2563

แพ็คเกจ วิ่ง – กิน – เที่ยว ญี่ปุ่น 5 คืน 3 วัน สำหรับ 2 ท่าน จำนวน 6 รางวัล รวมมูลค่า 900,000 บาทประกอบด้วยบัตรโดยสารสายการบิน Japan Airline นำผู้โชคดีตะลุยวิ่งหลากหลายเส้นทางสุดประทับใจ อาทิ วิ่งรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะอันสวยงาม หนึ่งในเส้นทางวิ่งของงาน Fujisan Marathon กับเส้นทางวิ่งท่ามกลางธรรมชาติบนเขา Misutoge อันงดงาม กับจุดชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา ทักทายภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ชิด บนระดับความสูง 1,700 เมตร รวมระยะทาง 16 กิโลเมตร ปิดท้ายทริปแบบสบายๆ วิ่งชมเมืองในสวนสาธารณะใจกลางกรุงโตเกียวย่านฮาราจุกุ ตามรอยการแข่งขันสุดท้าทายของรายการ Tokyo Marathon พร้อมช้อปปิ้งอุปกรณ์กีฬา  แบรนด์ชั้นนำ อิ่มอร่อยไปกับบุฟเฟต์ขาปูไม่อั้น และเมนูปิ้งย่างจุใจ

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/sport สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ได้ที่นี่ #สุขไม่จำกัด กับบัตรเคทีซี


 

WORKMATE ได้รับการลงทุน 5.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรอบซีรี่ส์เอ เพื่อพัฒนาตลาดแรงงานนอกระบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เวิร์คเมท (Workmate เดิมชื่อ Helpster) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดหาพนักงานแบบครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับเงินลงทุนจำนวน 5.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งจากบีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล หลังธุรกิจโตถึง 10 เท่านับตั้งแต่มกราคม 61 ที่ผ่านมา โดยเวิร์คเมทจะนำเงินทุนนี้ไปยกระดับตลาดแรงงานนอกระบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

การจ้างงานนอกระบบ (Informal Labor Staffing) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสัดส่วนมากถึง 50% ของตลาดแรงงานทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณการจ้างงานสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ทั้งนี้เวิร์คเมท เป็นแพลตฟอร์มจัดหางานที่เปิดโอกาสให้ผู้หางานกว่า 100 ล้านคนในภูมิภาคเข้าถึงโอกาสการร่วมงานกับบริษัทชั้นนำหลายร้อยบริษัท อาทิ Central Group, True Corp, Lazada, Grab และ NinjaVan เป็นต้น มีพันธกิจที่จะยกระดับตลาดแรงงานนอกระบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการช่วยให้พนักงานมีรายได้ที่สม่ำเสมอและมั่นคง ในขณะที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้หางานชั่วคราวที่ผ่านการคัดเลือกแล้วได้อย่างรวดเร็ว

12 พฤศจิกายน 2562, บริษัท เวิร์คเมค จำกัด (Workmate) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดหาพนักงานแบบครบวงจรประกาศการระดมทุนรอบซีรี่ส์เอ เป็นจำนวนเงิน 5.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำโดย Atlas Ventures และร่วมลงทุนโดย Gobi Partners, บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon Venture Capital) บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และนักลงทุนอื่น ๆ โดยเวิร์คเมทจะนำเงินทุนนี้ไปขยายฐานลูกค้า พัฒนาเทคโนโลยี และขยายบริการไปยังตลาดใหม่ ทั้งนี้นับตั้งแต่มกราคม 2559 เวิร์คเมทมีการระดมทุนไปแล้วทั้งสิ้น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และธุรกิจเติบโตเพิ่มขึ้น 10 เท่านับตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 โดยบริษัทมีพันธกิจในการยกระดับตลาดแรงงานนอกระบบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการจ้างงานนอกระบบถึง 50% ของการจ้างงานทั้งหมด ซึ่งตลาดแรงงานนอกระบบมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่ง นายจ้างยังแสวงหาลูกจ้างด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การแนะนำแบบปากต่อปาก ซึ่งทำให้เข้าถึงพนักงานจำนวนน้อยและไม่สามารถเลือกพนักงานที่มีคุณสมบัติหรือประสบการณ์ตามที่ต้องการได้

มิสเตอร์แมทธิว วาร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทเวิร์คเมท มีความตั้งใจจะเปลี่ยนตลาดการจ้างงานให้ทันสมัยและคล่องตัวมากขึ้น จึงร่วมก่อตั้งบริษัทกับผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นที่ล้วนมีประสบการณ์ในการสร้างบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้วมากมาย เช่น Admax Network, Ardent Capital, Ensogo และ aCommerce

“ เวิร์คเมทช่วยให้นายจ้างสามารถเข้าถึงพนักงานชั่วคราวได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น นายหน้า ทำให้นายจ้างสามารถลดค่าใช้จ่ายในการจ้างงานลงกว่า 30% ซึ่งระบบการจ้างงานแบบนายหน้านี้ไม่มีการใช้เทคโนโลยีและยังคงเป็นรูปแบบเดิมมานานกว่า 40 ปี การนำแพลตฟอร์มมาใช้ในระบวนการจ้างงานกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก แม้กระทั่งบริษัทชั้นนำ อาทิ Uber ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มจ้างงานชื่อ Uber Works มาใช้ในสหรัฐฯ ” แมทธิว กล่าว

เวิร์คเมทตั้งใจที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดแรงงานนอกระบบในภูมิภาคนี้ ที่มีความต้องการพนักงานชั่วคราวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในงานบริการ งานผลิต หรืองานรับจ้างทั่วไป ทั้งนี้ แพลตฟอร์มหางานส่วนใหญ่จะเน้นการจ้างงานประจำของพนักงานบริษัท แต่เวิร์คเมทเห็นว่า โอกาสที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การจ้างงานชั่วคราว ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาได้ โดยสร้างประสิทธิภาพในวงกว้าง

ธุรกิจที่มีความต้องการหาพนักงานที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอมักต้องใช้เวลาอย่างมากในการคัดเลือกพนักงาน และมักขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของพนักงานเหล่านี้ ขณะเดียวกันฝั่งผู้หางานใช้เวลามากในการหางาน โดยในบางครั้งอาจใช้เวลานานถึงหลายสัปดาห์ ทำให้ผู้หางานเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่ต้องการ

เวิร์คเมทจึงเข้ามาตอบโจทย์ของตลาด ซึ่งพนักงานที่อยู่บนแพลตฟอร์มของเวิร์คเมทจะได้รับการคัดกรองเบื้องต้นผ่านการสัมภาษณ์และคัดกรองโดยทีมงานของเวิร์คเมทเอง จึงเป็นพนักงานที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ ต่างจากแหล่งประกาศหางานอื่นทั่วไป นายจ้างสามารถเลือกพนักงานและดำเนินการว่าจ้างผ่านแพลตฟอร์มได้ทันที หากมีพนักงานที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการและมีประวัติการทำงานที่ดี

นอกจากนี้แพลตฟอร์มยังช่วยจัดการในเรื่องสัญญาจ้างงาน การลงเวลาเข้าออก และการชำระค่าจ้าง อย่างครบวงจรด้วย พนักงานที่ผ่านการคัดเลือกและอยู่บนแพลตฟอร์มของเวิร์คเมท สามารถเห็นข้อเสนองานได้ทุกวันบนแอปพลิเคชันของเวิร์คเมท โดยงานเหล่านี้ถูกคัดกรองมาให้ตรงตามความสามารถของพนักงาน เวิร์คเมทยังมีการปกป้องพนักงานจากปัญหาค่าจ้างที่ไม่โปร่งใส และมีสวัสดิการให้พนักงาน รวมถึงมีแผนในอนาคตในการจัดหาผลิตภัณฑ์ประกันและการเงินต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้แก่พนักงานอีกด้วย  ซึ่งบริการเหล่านี้ไม่

เพียงช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงาน แต่ยังทำให้การทำงานแบบชั่วคราวเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจของคนโดยทั่วไปอีกด้วย

มิสเตอร์แมทธิว กล่าวว่า เวิร์คเมทกำลังสร้างสิ่งที่แตกต่างในภูมิภาคนี้ เราไม่ใช่แหล่งประกาศหางานหรือเป็นเพียงคนจับคู่พนักงานกับนายจ้างเท่านั้น แต่เราเป็นโซลูชั่นส์การจ้างงานที่ครบวงจร และมุ่งหวังที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานในภูมิภาค รวมถึงช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานไปได้อย่างเต็มที่ โดยการจัดการพนักงานชั่วคราวที่มีคุณภาพให้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ

นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด กล่าวว่า บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธนาคารกสิกรไทยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการทางการเงินที่ดีแก่ตลาดแรงงานที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเต็มที่ (Underserved Population) และเชื่อมั่นว่าด้วยองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความตั้งใจของเวิร์คเมทที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของกลุ่มพนักงาน ประกอบกับความสามารถในการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและอินโดนีเซียในปีที่ผ่านมา จะช่วยให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถเข้าใจและเข้าถึงตลาดนี้ได้มากขึ้น และให้บริการทางการเงินที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพการเงินแก่บุคคลากรและพนักงานในตลาดแรงงานนี้

เวิร์คเมทมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ และมีสำนักงานอยู่ในหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร กรุงจากาตาร์ บาหลี และมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ ภายในปี 2563 ที่ผ่านมาเวิร์คเมทได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำทั้งในและนอกแวดวงสตาร์ทอัพ โดยลูกค้าในประเทศไทยรวมถึงบริษัท aCommerce, Flash Express, JD Central, Taco Bell, Lazada และ Chilindo และลูกค้าในประเทศอินโดนีเซียมี Grab,  Ismaya Group, NinjaVan, Kopi Kenangan และ STOQO ในปี 2561 เวิร์คเมทเป็นผู้ให้บริการจัดหาพนักงานกว่าพันคนให้กับเอเชียนเกมส์ในกรุงจาการ์ตาและปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย

กรุงศรีช่วยลูกค้า ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR 0.25%

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารและตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของภาครัฐ โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ลง 0.25% เหลือ 6.35% ต่อปี จากเดิม 6.60% ต่อปี เพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับลูกค้านิติบุคคลลง 0.05% – 0.35% โดยไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าบุคคลธรรมดาและลูกค้านิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับนิติบุคคลอัตราใหม่ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

“รอง โฆษก ตร.” เผย  ตั้งข้อหาหนัก อดีตนายพลสีกากี มือยิงคู่กรณีกลางศาลจันทบุรี ตาย 2 เจ็บ 3 ราย

เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2562 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สื่อข่าวไทยแทบลอยด รายงานว่า  พ.ต.อ.กฤษณะ  พัฒนเจริญ  รอง โฆษก ตร. โด้เปิดเผยถึงความคืบหน้า กรณีเหตุคู่กรณีใช้อาวุธปืนยิงกันภายในบริเวณห้องพิจารณาของศาล  ในพื้นที่ อ.เมือง  จว.จันทบุรี  ว่า

“ได้รับรายงานเพิ่มเติมจาก สภ.เมืองจันทบุรี  ว่า  ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 2 ราย คือ นายบัญชา ปรมีคณาภรณ์  และ  นายวิจัย สุขรมย์  และมีผู้บาดเจ็บจำนวน 3 ราย  รักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระปกเกล้า คือ  นายวิชัย อุดมธนพัฒน์ (เบื้องต้นอาการปลอดภัยแล้ว) , นางสุภาพร  ปรมีสนาภรณ์ (อยู่ระหว่างการรักษา)  และในส่วนของผู้ก่อเหตุ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ (เกษียณอายุราชการแล้ว)  มีอาการสาหัส(อยู่ระหว่างการรักษา)

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า  คดีนี้จากการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น มูลเหตุสันนิษฐานมาจากเรื่อง ฟ้องร้องคดี  อีกทั้งการกระทำของผู้ก่อเหตุในเบื้องต้นเป็นความผิดในข้อหา   ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กายสาหัส , พกพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน เมือง หรือ ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร

โดยพนักงานสอบสวนจะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน  รอผลตรวจพิสูจน์ที่เกี่ยวข้อง  สอบปากคำพยานและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป”

สำหรับคดีดังกล่าว ศาลจังหวัดจันทบุรี วันนี้ศาลนัดฟังพิพากษาในคดีมรดกที่ห้องบัลลังก์ 2 โดยมีคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาร่วมฟังการพิจารณา ในขณะที่รอผู้พากษาทั้งสองฝ่ายเกิดโต้เถียงกัน แล้วจู่ๆ ชายยังไม่ทราบฝ่ายก็ชักอาวุธปืนออกมายิงฝ่ายตรงข้ามหลายนัดเป็น เหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย และไม่รู้สึกตัว 3 รายอาสาสมัครกู้ภัยสว่างกตัญญูถึงจุดเกิดเหตุ ให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยกลุ่มผู้สื่อข่าวถูกกันอยู่ภายนอกไม่อนุญาติให้เข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด เบื้องต้นทราบกลุ่มผู้บาดเจ็บเป็นทนายความ 3 คน ภรรยาทนายความ 1 คน และคนยิงอีก 1 คน และล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 คน

ความคืบหน้า มีผู้บาดเจ็บ​ 5​ ราย​ ได้แก่ 1.ผู้ก่อเหตุ​ พล.ต.ต.ธานินทร์​ จันทราทิพย์​ อายุ​ 67​ ปี 2.คู่กรณี​ บาดเจ็บ​ 4​ คน​ คือ 2.1 ทนาย​/โจทย์​ นายบัญชา​ ปรมีคณาภรณ์ 2.2 ภรรยา​นายบัญชา ​นางสุภาพร ปรมีคณาภรณ์ 2.3 ทนาย​ นายวิจัย​ สุขรมย์ 2.4​ ทนาย​ นายวิชัย​ อุดมธนภัทร
​โดยในจำนวน 5 รายนี้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย ส่วนสาเหตุสืบเนื่องจากคดีแพ่งฟ้องแพ่งที่ดินกันมานานกว่า​ 10 ปี​ ครั้งนี้แตกสาขาเป็นคดีอาญาข้อหาฟ้องเท็จ อาวุธ​ โดยคนร้ายใช้ปืนกล็อกขนาด 22.40 และถูกตำรวจศาลยิงบาดเจ็บภายหลังจากก่อเหตุใช้อาวุธยิงผู้อื่นในศาล นำตัวส่ง​ รพ.ปกเกล้า

สำหรับผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนสั้น ยี่ห้อ กล๊อก 22 ขนาด .40 ยิงคู่กรณีพิพพาทปมปัญหามรดกที่ดิน จำนวน 1 พันไร่ ที่หน้าบัลลังก์ ศาลจังหวัดจันทบุรี จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย และ เสียชีวิต คือ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อดีตรองจเรตำรวจ (สบ7) และเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก , ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท เป็นต้น
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ คือ ปืนสั้น ยี่ห้อ กล๊อก 22 ขนาด .40 ถือว่าเป็นปืนที่ทางข้าราชการตำรวจนิยมใช้ โดยปืนชนิดนี้ ผลิตในประเทศออสเตรีย เป็นปืนที่ใช้ โครงปืนพลาสติกจึงทำให้น้ำหนักเบา ระบบลั่นไกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความปลอดภัยสูง ถ้าไม่ตั้งใจเหนี่ยวไกก็จะไม่มีโอกาสลั่นเองได้ ทั้งนี้ ปืนกล็อกมีรุ่นที่ใช้ได้กับขนาดกระสุน.40 สมิธฯ ทั้งหมด 5 รุ่น คือ โมเดล 22, 23, 24, 27 และ 35

ตม.สุราษฎร์ฯ​ รวบไนจีเรียอยู่เกิน 2,412 วัน

วันที่​ 11​ พ.ย.62 เวลา 16.00 น.: พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล​ ผกก.ตม.จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย ร.ต.อ.เทอดศักดิ์ ธวัชร์วรกุล,ร.ต.อ.อรุณ มูสิกิ้ม รองสว.ตม.จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน​ ตม.จ.สุราษฎร์ธานี​ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว กก.2 บก.ทท.3 จับกุมตัวบุคคลต่างด้าวคือ​ MR.Samuel NWABUEZE IWOHA สัญชาติไนจีเรีย ถือหนังสือเดินทางเลขที่ A03677118 โดยกล่าวหาว่า​ “เป็นบุคตลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” อยู่เกิน 2,412 วัน
โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเช่าไม่มีเลขที่ บ้านในสวน ม. 2 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี​ พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้อง ส่งพงส.สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กรุงไทยเดินหน้า ชิม ช้อป ใช้ G-Wallet 2 ลุยเมืองกาญจน์หนุนร้านค้าดันยอดใช้จ่ายพุ่ง 7%

กรุงไทยส่งเสริมผู้รับสิทธิมาตรการชิมช้อปใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2 มั่นใจระบบเติมเงินสะดวกรวดเร็ว ผ่าน QR Code ทุกธนาคารและตู้ ATM 5 ธนาคารใหญ่ พร้อมรับเงินคืนสูงสุด 8,500 บาท ผู้รับสิทธิใช้ G-Wallet 2 ยอดใช้จ่ายกว่า 735 ล้านบาท  พร้อมจับมือคลังเยี่ยมชมร้านค้าถุงเงินจังหวัดกาญจนบุรี ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 7% สูงกว่ายอดรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 5%

นายผยง  ศรีวณิช  กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แอปพลิเคชั่นถุงเงินและเป๋าตัง เป็นดิจิทัลแพล็ตฟอร์มที่สามารถรองรับการการทำธุรกรรมของผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนการเติมเงินง่าย ไม่ซับซ้อน  และสะดวกรวดเร็ว โดยเติมเงินผ่านการสแกน QR Code  ด้วยแอปของทุกธนาคาร หรือเติมเงินผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ด้วยบัตร ATM ที่ตรงกับตู้ธนาคารนั้นๆ เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ในร้านค้าที่ร่วมโครงการชิมช้อปใช้ได้ทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดในทะเบียนบ้าน จะได้รับสิทธิเงินคืน ยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000  บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20% รวมเงินคืนสูงสุด 8,500 บาท ปัจจุบันร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2  มีจำนวนกว่า 173,000 ร้านค้า ทั้งเครือโรงแรมเซ็นทารา ใบหยก แอคคอร์ ดุสิต ชาเทรียม ไฮแอท ไอเอชจี แมริออท ทีทีซี และโรงแรมรีสอร์ตอื่นๆ ทั่วประเทศประมาณ  4,600 แห่ง เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับสิทธิเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ มากยิ่งขึ้น และมีการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2  เพิ่มขึ้น ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 มียอดการใช้จ่ายกว่า 735  ล้านบาท

ธนาคารกรุงไทยได้ลงพื้นที่ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เยี่ยมชมร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ในจังหวัดกาญจนบุรี  มีร้านค้าที่ร่วมโครงการ ประมาณ 1,683 ร้านค้า  แบ่งเป็นร้านชิม  695 ร้านค้า ร้านช้อป 485 ร้านค้า  ร้านใช้ 156  ร้านค้า และร้านค้าทั่วไป 347 ร้านค้า  มียอดการใช้จ่ายรวม  ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 กว่า147 ล้านบาท และมียอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศอยู่ที่ 5%  ผู้รับสิทธิที่มาใช้จ่ายในจังหวัดกาญจนบุรี มีจำนวนประมาณ 135,000 คน โดย 5 อันดับแรกมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี  ราชบุรี นครปฐม กรุงเทพมหานคร  และนนทบุรี

สำหรับยอดการใช้จ่ายภาพรวมของทั้งประเทศผ่านแอปเป๋าตัง ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,727.40 ล้านบาท ใช้จ่ายผ่าน G –Wallet 1 จำนวน 10,992 ล้านบาท และ G-Wallet 2 จำนวน 735 ล้านบาท แบ่งเป็นร้านค้าประเภทชิม 13.21% ร้านค้าประเภทช้อป 59.10% ร้านค้าประเภทใช้ 1.27% และร้านค้าทั่วไป 26.42%

ส่วนวิธีการชำระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน เข้าแอปเป๋าตัง เพียงกดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน15-20% และเลือกใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังได้ QR Code  ให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน  ผู้รับสิทธิตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชำระ และกดยืนยันการชำระเงิน ในส่วนการรับเงินคืนจะคืนมี 2 รอบ รอบแรกสำหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ วันที่ 27 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2562  จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนธันวาคม 2562  และ รอบที่ 2 การใช้จ่ายในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคม 2562 จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนมกราคม 2563 โดยลูกค้าสามารถโอนเงินกลับเข้าบัญชีธนาคารของตนเองได้

มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ มีเป้าหมายให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิ นำเงินไปใช้จ่ายในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เงินหมุนเวียนลงไปสู่ชุมชน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล  และเป็นการสร้างความเข้าใจตลอดจนเพิ่มประสบการณ์ให้ประชาชนในการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดตามนโยบาย Thailand 4.0

มาอีก! อ้างตัวแทน บ.ลิขสิทธิ์ ล่อซื้อชุดว่ายน้ำลายโดราเอม่อน-ฟิกเกอร์วันพีช บังคับเซนต์เอกสารเปล่าเพื่อยอมคดี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) นายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความ พร้อมผู้เสียหายกว่า 20 คน เข้าร้องทุกข์กับ พ.ต.ต.ศุภชัย ชาติมนตรี สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป.เพื่อขอให้ตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทลิขสิทธิ์ ทำทีมาสั่งซื้อสินค้าก่อนแจ้งความฐานละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเรียกรับเงินเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี ว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทจริงหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าไม่ใช่ตามที่กล่าวอ้าง ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

นายวรกร กล่าวว่า มีบุคคลอ้างเป็นตัวแทนบริษัทลิขสิทธิ์การ์ตูนโดราเอม่อน ติดต่อผู้เสียหายรายหนึ่งใน จ.นครปฐม มาล่อซื้อชุดว่ายน้ำลายตัวการ์ตูน ก่อนจะโดนตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม จับกุมพร้อมเรียกเงินประกันตัว 50,000 บาท พร้อมระบุหากไม่จ่ายเงินก็จะถูกคุมขังที่โรงพัก แต่เหยื่อต้องการสู้คดีที่ชั้นศาล จนกระทั่งไกล่เกลี่ยเงินค่าปรับให้ตัวแทนลิขสิทธิ์เหลือ 15,000 บาท และได้รับการปล่อยตัว ซึ่งมีเหยื่อที่ถูกล่อซื้อสินค้าลักษณะนี้ทั้งในท้องที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะมีตัวแทนลิขสิทธิ์ ติดต่อซื้อสินค้าผ่านเฟซบุ๊กและไลน์ พร้อมขู่เรียกเงินตั้งแต่ 20,000-100,000 บาทเพื่อแลกกับการไม่ต้องขึ้นศาลทำให้กลุ่มผู้เสียหายไม่ไว้ใจตำรวจท้องที่เพราะถูกคนกลุ่มดังกล่าว ข่มขู่จะแจ้งความกลับ จึงพามาร้องทุกข์ที่กองปราบในวันนี้

หนึ่งในผู้เสียหายจาก จ.นนทบุรี กล่าวว่า กรณีตนได้รับฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนวันพีช ของแท้มาขาย แต่กลับถูกกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ล่อซื้อสินค้าโดยนัดรับของที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด จากนั้นเมื่อพบกับคนกลุ่มนี้ ตนก็ถูกล้อมและบอกว่าสินค้าที่นำมาขายเป็นของปลอม ก่อนจะตั้งโต๊ะบังคับให้เซ็นต์ในกระดาษเปล่าเพื่อรับสารภาพ ทั้งที่ไม่มีตำรวจมากับคนกลุ่มนี้ และข่มขู่ว่าหากไม่ทำตาม จะแจ้งความฐานไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ม.72 พร้อมเรียกเงินอีก 2 แสนบาท ต่อมา ตนได้นำสินค้าไปให้บริษัทแม่ตรวจกระทั่งอัยการไม่สั่งฟ้องศาล ใช้เวลาสู้คดีกว่า 1 ปี จนชนะเนื่องจากสินค้าที่ตนนำมาขายเป็นของแท้ ซึ่งไม่ได้มีเหยื่อหลายคนที่โชคดีแบบนี้

เบื้องต้น พ.ต.ต.ศุภชัย สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ พร้อมตรวจสอบหลักฐานบันทึกการถอนแจ้งความในแต่ละท้องที่ของผู้เสียหายที่ถูกบุคคลกลุ่มมนี้เรียกรับเงินเพื่อไม่สู้คดีมาประกอบการพิจารณา ก่อนรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป