กรมอนามัย เตือนฝุ่นและก๊าซรอบกองขยะหลังน้ำลดในพื้นที่หาดใหญ่ แนะผู้ปฏิบัติงาน–ประชาชน ป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้เกิดขยะจำนวนมาก และขยะส่วนใหญ่ถูกนำไปไว้ที่จุดพักขยะชั่วคราวสะพานดำ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้น เพื่อประเมินผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชน

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของทีม SEhRT ในการฟื้นฟูพื้นที่หาดใหญ่หลังน้ำท่วมและตรวจคุณภาพอากาศเบื้องต้นในพื้นที่โดยรอบจุดพักขยะชั่วคราวแยกสะพานดำ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 จำนวน 10 จุด พบว่า มีความเข้มข้นของค่าฝุ่น PM10 สูง ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ถึง 2,840 µg/m³ ความเข้มข้นฝุ่น PM2.5 บางจุดเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 38 µg/m³ และความเข้มข้นก๊าซแอมโมเนีย พบมีค่าสูงสุดที่ตรวจวัดได้ 16 ppm ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา จมูก คอ และระบบทางเดินหายใจ และพบกลิ่นขยะค่อนข้างแรง ทั้งนี้ การที่ค่าฝุ่นและก๊าซเหล่านี้สูง เกิดจากกองขยะที่นำมาสะสมจำนวนมาก ส่วนใหญ่ผสมกับดินโคลนที่แห้งหลังน้ำลด รวมถึงการเคลื่อนย้ายและกำจัดขยะที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายมากขึ้น ซึ่งทีม SEhRT ของกรมอนามัย ยังคงต้องเฝ้าระวังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“การสัมผัสฝุ่นและก๊าซเหล่านี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM 10 ส่งผลให้มีอาการไอ แสบคอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ผื่นคัน หรือการติดเชื้อผิวหนังจากสิ่งสกปรก ผู้ที่เป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ จะทำให้อาการกำเริบได้ อันตรายจากก๊าซแอมโมเนีย ส่งผลให้แสบตา แสบจมูก แสบคอ ไอ แน่นหน้าอก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ โรคปอด และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานบริเวณกองขยะ พนักงานเก็บกวาด ควรต้องระวังเป็นพิเศษ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอนามัย จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ใกล้จุดพักขยะชั่วคราวสะพานดำ และในรัศมี 100 เมตร และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ดูแลและป้องกันสุขภาพตนเอง ดังนี้ 1) สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N95 และแว่นตาเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือใกล้กองขยะ 2) ดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 8–10 แก้ว เพื่อลดการระคายเคืองคอ 3) หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร หากไม่จำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 4) หากมีอาการตาแดง ระคายเคืองตา ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือล้างตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หากมีผื่นคัน ให้รีบอาบน้ำและใช้ครีมบรรเทาอาการ 5) หากมีอาการไอ หายใจลำบาก ผื่นลุกลาม หรือแสบตารุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที สำหรับการดูแลบ้านเรือนหลังน้ำลด ให้ปิดประตู–หน้าต่างในช่วงกลางวันเพื่อลดฝุ่นเข้าบ้าน ทำความสะอาดภายในด้วยวิธีเช็ดถูด้วยผ้าชุบน้ำ หลีกเลี่ยงการกวาดที่ทำให้ฝุ่นฟุ้ง สวมหน้ากากเมื่อทำความสะอาดบ้าน เพื่อป้องกันฝุ่น เชื้อรา และเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อน สำหรับผู้ปฏิบัติงานเก็บขยะ/เคลียร์พื้นที่ต้องสวม PPE และหน้ากาก N95 ตลอดเวลาปฏิบัติงาน หลีกเลี่ยงการยืนเหนือลมกองขยะ หลังงานเสร็จควรรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือและหน้าให้สะอาด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอแสบคอ แสบตา หรือผื่นคัน ให้หยุดงานและพบแพทย์

“กรมอนามัยขอเน้นย้ำว่า แม้น้ำจะลดลงแล้ว แต่อันตรายด้านสุขภาพจากฝุ่นและก๊าซรอบกองขยะยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ความเสี่ยงสูง เช่น จุดพักขยะชั่วคราวและพื้นที่ใกล้ชุมชน พร้อมขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วงฟื้นฟูหลังน้ำท่วม” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

“รองแม่ทัพภาคที่ 2 เยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราว ให้กำลังใจผู้อพยพจากภัยพิบัติฉุกเฉินชายแดน”

ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและสิ่งสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ 4 จังหวัดตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากต้องอพยพมาพักพิงในศูนย์พักพิงชั่วคราว

พลตรี วิทยา สะแกทอง รองแม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนผู้อพยพที่พักอาศัย ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ต้องอพยพจากภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด และมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่จำเป็น โดยได้มีการตรวจสอบความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก อาหาร น้ำดื่ม และการรักษาพยาบาล เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนทุกคนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ในโอกาสนี้ ได้กล่าวให้กำลังใจประชาชน กองทัพภาคที่ 2 และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เราจะทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อดูแลความปลอดภัย จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงดูแลประชาชนอย่างอบอุ่น

การปฏิบัติในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกองทัพและหน่วยงานภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองประชาชนอย่างเต็มกำลังในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างปลอดภัยในที่สุด

รอง ผบ.ตร.ตรวจเยี่ยมกำลังพล ตชด.พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำความพร้อมร่วมปกป้องอธิปไตย

รอง ผบ.ตร.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพล ตชด. อุบลฯ มอบสิ่งของบำรุงขวัญ ย้ำตรวจความพร้อมอาวุธ–ยุทโธปกรณ์ รับมือสถานการณ์ชายแดน พร้อมห่วงใยสวัสดิการ และดูแลครอบครัวตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่และบาดเจ็บอย่างรอบด้าน

วันนี้ (12 ธันวาคม 2568) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. เดินทางตรวจเยี่ยมกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 จ.อุบลราชธานี มอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัวในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์

จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน และทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ก่อนเดินทางมอบสิ่งของบำรุงขวัญ กก.ตชด.12 และกองร้อย ตชด.125

พล.ต.อ.สำราญฯ กำชับให้ ตชด. ซึ่งเป็นกองกำลังป้องกันชายแดน ตรวจสอบอาวุธ ยุทโธปกรณ์ของกำลังพลให้พร้อมใช้งาน สำรวจความต้องการเร่งด่วน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมสนับสนุน เพื่อภารกิจร่วมปกป้องอธิปไตยไทย พร้อมแสดงความห่วงใยสิทธิและสวัสดิการของกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ หรือได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการดูแลครอบครัวของกำลังพล กำชับผู้บังคับบัญชา ให้ช่วยกันดูแลอย่างดีที่สุด

“รวมไทยสร้างชาติ” ซัดยุบสภาไร้เหตุจำเป็น ชี้เกมการเมืองซ้ำเติมวิกฤตชาติ

พรรครวมไทยสร้างชาติ​ ออกแถลงการณ์ตอบโต้การยุบสภา ระบุเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาประเทศ ท่ามกลางวิกฤตชายแดน น้ำท่วม และเศรษฐกิจฐานรากพังทลาย ย้ำพร้อมส่งผู้สมัครครบ 77 จังหวัด เดินหน้าแก้วิกฤตชาติด้วยความเด็ดขาด
.
การประกาศยุบสภาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาหนักรอบด้าน ทั้งความตึงเครียดจากสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนกัมพูชาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ วิกฤตน้ำท่วมที่ทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากยังคงประสบความทุกข์ยากอย่างหนัก วิกฤตเศรษฐกิจฐานรากที่กำลังพังทลาย  และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กดทับความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศ
.
ผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งนี้ยิ่งซ้ำเติมความไม่แน่นอนทางการเมือง และสะท้อนอย่างชัดเจนว่า  พรรคการเมืองให้ความสำคัญกับประโยชน์ทางการเมืองของตนเองมากกว่าการทุ่มเทกำลังเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
.
พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นว่าการยุบสภาครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความจำเป็นของบ้านเมืองแต่เกิดจากผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองล้วนๆ โดยที่ฝ่ายหนึ่งมุ่งเป้าหมายที่จะแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้นไม่คำนึงถึงวิกฤตประเทศในปัจจุบัน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการแค่หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ทั้งที่มีหน้าที่แก้ไขวิกฤติโดยตรง  ข้อตกลงของสองฝ่ายทำให้การแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศสะดุดลง
.
วิกฤตประเทศในขณะนี้จำเป็นต้องใช้ความจริงจังและเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ เราตั้งใจเข้ามาทำงานแก้ไขปัญหาเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์เราพร้อมลงมืออย่างเด็ดขาดเพื่อนำประเทศออกจากวงจรความไม่แน่นอนและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานเราพร้อมที่จะนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้และมีความพร้อมในการส่งผู้สมัครครบ 77 จังหวัด ทั่วประเทศ

“กัณวีร์” เตรียมนั่ง “หัวหน้าพรรคพลวัต” และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เผยรวมนักปฏิบัติสู่การเมืองใหม่ ยันไม่ใช่พรรคปัดเศษ พร้อมส่ง สส.300 เขต

วันที่ 12 ธ.ค.68 นายกัณวีร์ สืบแสง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เปิดเผยว่า การยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. วันนี้เพื่อจะไปสมัครสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ ชื่อ พรรคพลวัต เป็นพรรคการเมืองที่จะสังกัดในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

“เหตุการณ์เมื่อวานที่รัฐสภา เห็นชัดเจนว่าทำให้การเมืองไทยอยู่นิ่ง มีการแบ่งฝ่าย ใช้การเมืองแบบเก่า ไม่สามาถทำให้ใช้ประชาชนเป็นตัวตั้ง ผมจึงรวมตัวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นนักปฏิบัติที่จะทำการเมืองใหม่”

นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า ตนจะนั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลวัต ซึ่งมีการจดทะเบียนพรรค พร้อมส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว และจะประชุมเพื่อเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ตั้งใจเดินหน้าตามนโยบายที่ทำไว้ตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา

“พอแล้วกับการเมืองเก่า การเมืองที่ผิดคำมั่นต่างๆนาๆ ผมจะทำให้ประชาชนมั่นใจในระบบการเมือง พรรคพลวัต จะเป็นพรรคที่ตอบโจทย์ ไม่ใช่พรรคทางเลือก แต่เป็นพรรคทางรอด เพื่อประเทศชาติจริง ๆ”

นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า ตนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรมา 2 ปีครึ่ง เห็นชัดเจนว่าอุมดการณ์ต่างๆไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ทั้งประชาธิปไตย กระจายอำนาจ สิ่งที่แตกต่าง พรรคพลวัต ต้องทำให้ได้จริงๆ อย่างงานที่ตนทำงานด้านการต่างประเทศ ระหว่างประเทศ จะมีนักปฏิบัติมาทำจริง รวมถึงเศรฐกิจก็มี ต้องเดินหน้า เพราะไม่สามารถหยุดนิ่งแค่การเมืองภายใน ต้องมองการเมืองภายนอกด้วย

“ผมมั่นใจว่าแม้เป็นพรรคเล็ก แต่ที่ผ่านมาผมเป็น สส.คนเดียว แต่ทำงานที่แท้จริง แก้ไขปัญหา ผมมั่นใจว่าพรรคพลวัต ต้องเดินหน้าไปสู่การบริหารแก้ไขปัญหา พี่น้องประชาชนรออยู่ เพราะการเป็นฝ่ายค้านอย่างเดียวไม่เพียงพอ เห็นได้จากเมื่อวานนี้ผมไม่พูดเพราะสุดท้ายเป็นอย่างที่เราคาดหวัง ประชาชนได้รับผลกระทบ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่เห็นประโยชน์ของตน เป็นสิ่งเดียวที่ผมลาออกพรรคเป็นธรรม มาตั้งพรรคใหม่ เพราะไม่เห็นพรรคไหนที่ตอบโจทย์ การบริหารงานต่างประเทศ ชายแดน จึงมาตั้งพรรคเอง”

นายกัณวีร์ กล่าวว่า หลายคนอาจมองว่าทำไมตนไม่เข้าพรรคประชาชน เพราะไม่อยากเป็นพรรคอุดมการณ์อย่างเดียว อยากเป็นพรรคที่นำไปปฏิบัติจริงๆ ไม่ทำการเมืองเก่า ๆ จะไม่ทำกลเล่ห์แห่งการเมืองเก่า ๆ และพร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

“เมื่อนั่งหัวหน้าพรรคแล้วต้องนั่งแคนดิเดตนายกฯ พร้อมส่ง 300 เขต ซึ่งตอนแรกอาจมองเป็นพรรคเล็ก แต่เราเห็นแล้วว่าถ้าการเมืองเป็นแบบนี้ ผมก็สู้พรรคใหญ่ได้เหมือนกัน แม้ไม่มีกระสุนเหมือนพรรคใหญ่ เราใช้ความศรัทธาประชาชนเป็นตัวตั้ง ในการบอกว่าเราไม่ต้องการการเมืองแบบเดิมอีกแล้ว”

นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า เป้าหมายของการเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อร่วมเป็นฝ่ายบริหาร เราต้องชัดเจนว่าจะเข้าไปเพื่อทำงานให้กับประชาชน ต้องไปเป็นรัฐบาล ไปสร้างความหวังให้ประชาชนให้ได้ แต่ต้องดูที่ผลการเลือกตั้ง ถ้าพรรคพลวัต จะร่วมทำงานจะต้องนำอุดมการณ์เราไปปรับใช้ และต้องมีเงื่อนไขด้วย

“หลายคนมองว่า อาจเป็นพรรคปัดเศษหรือไม่ แต่ผมมั่นใจว่าแม้เป็นพรรคเล็กแต่มียุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวพรรควันที่ 15 ธ.ค.นี้ ผมจะนั่งหัวหน้าพรรค มีการประชุมที่พรรคเดิมใน จ.สุพรรณบุรี และเตรียมเปิดตัวในกรุงเทพมหานครต่อไปครับ”

นายกัณวีร์ เปิดตัวโลโก้พรรคพลวัต ที่เป็นตัวอักษร W คือ พ = พรรคพลวัต และสีเขียว โดยความหมาย W เป็นคลื่น 3 คลื่นที่จะพาประเทศไทยไม่หยุดนิ่ง สีเขียว สดใหม่ เป็นความหวังของไทย และโลก ที่จะไปเป็นผู้นำในเวทีระหว่างประเทศ

“เรายังมีความหวัง สามารถสร้างความหวังได้ การเมืองเก่าต้องพิจารณาตัวเอง ความเคลื่อนไหวของเราคือ พลวัต Move Party คือสิ่งที่จะเดินหน้าต่อไปว่าประเทศเราสามารถทำได้ จำเป็นต้องใช้คนใหม่ ๆ เมื่อเปิดตัวมาจะเห็นว่า นักปฏิบัติของเราคือใคและ ทำงานได้จริงครับ รอพบกับพวกเราเร็ว ๆ นี้” นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ

กัมพูชายังคงยิงกระสุนตกในพื้นที่ชุมชนพลเรือนของไทย ซึ่งไม่เคารพกติกาสากลด้านมนุษยธรรม

พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงว่า จากสถานการณ์การปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในพื้นที่จังหวัดตราด ล่าสุดปรากฏว่ามีกระสุนและวัตถุระเบิดจากฝ่ายทหารกัมพูชาตกลงในพื้นที่ชุมชนฝั่งไทย ทั้งบนเส้นทางคมนาคม วัด และบ้านเรือนประชาชน ซึ่งเป็นพื้นที่ย่านที่อยู่อาศัยของพลเรือนโดยชัดเจน

อย่างไรก็ดี ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจังหวัดตราดได้ดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้าแล้ว ทำให้ผลกระทบจำกัดอยู่เฉพาะความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนเท่านั้น

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน และไม่เคารพต่อกติกาสากล ตามหลักมนุษยธรรม (IHL) และเป็นการกระทำที่ยั่วยุ และสร้างความตึงเครียดและคุกคามสันติภาพในพื้นที่อย่างไม่อาจยอมรับได้

กองทัพเรือยืนยันว่า กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ยังคงทำทึกวิถีทางในการปกป้องประชาชนและปกป้องอธิปไตยของชาติด้วยความระมัดระวังสูงสุด และจะดำเนินมาตรการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อพฤติกรรมคุกคามทุกลักษณะ เพื่อให้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมและไม่ให้กระทบต่อประชาชนเพิ่มเติม

สำนักงานโฆษกกองทัพเรือ
12 ธันวาคม 2568

เลขาธิการ ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ หารือการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยแนวทางพัฒนาทางเลือก

วันนี้ 12 ธันวาคม 2568 ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน)​ อันเนื่องพระราชดำริ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ศึกษางานพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนตามตำราแม่ฟ้าหลวง และหารือแนวทางพัฒนาการดำเนินงานการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามแนวทางพัฒนาทางเลือก (Alternative Development)​ โดยมี นายณรงค์ อภิชัย ประธานสายงานพัฒนา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง ที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส./ผู้ชำนาญการด้านความมั่นคง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พล.ต.ต.วิรัช สุมนาพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย โครงการพัฒนาดอยตุงฯ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงร่วมให้การต้อนรับ

ในที่ประชุม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้นำเสนอการดำเนินงานในโครงการสำคัญ ดังนี้

1.โครงการร้อยใจรักษ์ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มต้นจากพระราชดำรัสของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราราชธิดา ที่ต้องการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยแยกกลุ่มผู้กระทำผิดที่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้โอกาสกลุ่มที่สามารถกลับตัวได้ รวมถึงประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีอาชีพสุจริตที่สามารถสร้างรายได้ ไม่ให้หวนกลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้รับช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค การสาธารณสุข อาชีพปลูกพืชเมืองหนาวรายได้สูง และส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว

    2.โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเยาวชนป้องกันกันยาเสพติด (ค่ายเยาวชนใฝ่ดี) ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่และต่างพื้นที่ ในการป้องกันยาเสพติด ในพื้นที่ดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ปัจจุบันมีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 20,000 คน ซึ่งโครงการได้พัฒนาหลักสูตรให้เหมาะกับทุกช่วงวัย รวมถึงจัดทำเครื่องมือเกมต้นแบบกิจกรรมป้องกันยาเสพติด

    3.โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา เป็นการขยายแนวทางการพัฒนาทางเลือกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ในกลุ่มชนเผ่าปะโอ พื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา รัฐฉานใต้ และกลุ่มชนเผ่าว้า ในพื้นที่ตอนเหนือของ อำเภอท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก ให้หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทนการปลูกฝิ่น

      เลขาธิการ ป.ป.ส. แสดงความขอบคุณมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในฐานะหน่วยงานที่ผลักดันการพัฒนาทางเลือกจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และสำนักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบแห่งการพัฒนาทางเลือก โดยกล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ให้ความสำคัญต่อแนวทางการพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน และพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในทุกมิติ

      ตร.ไซเบอร์หารือทหาร ฝ่ายปกครอง พม. เตรียมรับคนไทยกลับจากเขมรย้ำรับกลับทุกคนไม่จำกัด ต้องโดนสแกนประวัติ เจอจับดำเนินคดี

      วันที่ 11 ธ.ค. 68 เวลา 09.00 น. พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ตอท. และ พล.ต.ต.ถาวร ดุลยวิทย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พร้อมด้วยตำรวจไซเบอร์ ตำรวจสอบสวนกลาง และ ภ.จว.สระแก้ว ได้เข้าร่วมประชุมหารือร่วมกัน ระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร มณฑลทหารบกที่ 19 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระแก้ว ณ ห้องประชุม สภ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เพื่อกำหนดแนวทางมาตรการรับคนไทยจากประเทศกัมพูชาเดินทางกลับประเทศไทย และได้ร่วมกันตรวจความพร้อมของด่านพรมแดนบ้านคลองลึก จว.สระแก้ว

      จากการประชุมดังกล่าว สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ ดังนี้

      1. ทุกหน่วยงานต้องประสานความร่วมมือกัน โดยให้ เจ้าหน้าที่ ตม. และหน่วยที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับหากมีการปล่อยตัวคนไทย โดยให้เดินทางกลับเข้าประเทศได้ให้มากที่สุด และไม่มีข้อจำกัดจำนวนคนแต่ละวัน

      2. การคัดกรองบุคคลที่เดินทางกลับเข้าประเทศไทย ต้องดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้คัดกรองบุคคลผู้มีหมายจับ หรือถูกแจ้งความ หากพบก็จะจับกุมดำเนินคดี โดยทุกคนต้องผ่านการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometric) ของ สตม. และ บช.ก. และใช้เครื่องมือปฏิบัติการพิเศษตรวจเก็บข้อมูลพยานหลักฐานทางดิจิทัล (cellebrite) ของ บช.สอท., บช.ก. และ ภ.2 มาสนับสนุนภารกิจเพื่อจัดทำประวัติเก็บไว้ในฐานระบบข้อมูล ทั้งนี้ เพื่อสามารถติดตามตัวบุคคลดังกล่าวมาซักถามเพิ่มเติม หรือดำเนินคดีภายหลังได้

      3. สถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ มีคนไทยมายืนรอที่หน้าด่านฝั่งกัมพูชาเพื่อรอกลับประเทศไทย รวมกว่า 100 คน แต่ไม่สามารถข้ามแดนกลับมาได้ โดยจากการข่าวทราบว่า กัมพูชายังไม่มีนโยบายปล่อยตัวคนไทย จากการคาดการณ์เบื้องต้น คาดว่ามีคนไทยที่ต้องการกลับประเทศประมาณ 7-8 พันคน (เป็นกลุ่มคนไทยที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศเอง ไม่ใช่กรณีร้องขอเดินทางกลับประเทศไทยแบบขอหนังสือเดินทางฉุกเฉินผ่านสถานทูต โดยมีการนัดแนะกันผ่านเฟซบุ๊ก) โดยขณะนี้ฝ่ายทางการของเมืองปอยเปต กัมพูชา กำลังอยู่ระหว่างประชุมหารือปล่อยตัวคนไทยกลับประเทศ

      4. ตรวจความพร้อมและจัดเตรียมสถานที่ โดยใช้ ภ.จว.สระแก้ว เป็น ศูนย์ปฏิบัติการ และใช้ อาคารโรงยิม ม.บูรพา วิทยาเขตสระแก้ว เป็นสถานที่ดำเนินการคัดกรองบุคคล เพื่อดำเนินการกระบวนการคัดแยกเหยื่อจากขบวนการค้ามนุษย์ และส่งตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดำเนินคดีตามกฎหมาย และกำหนดให้มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ทุกวัน

      นาทีชีวิต! สว.(สอบสวน) สภ.ชัยพฤกษ์ ทุบกระจกช่วยเด็กวัย 6 เดือน ติดอยู่ในรถกระบะตู้ทึบหน้าอัยการจังหวัด

      วันนี้ (12 ธ.ค. 68) เวลาประมาณ 10.00 น. เกิดเหตุระทึกหน้าสำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี เมื่อประชาชนร้องขอความช่วยเหลือหลังพบเด็กหญิงวัยเพียง 6 เดือนติดอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ หลังประตูรถล็อกอัตโนมัติ ทำให้บิดาไม่สามารถเปิดประตูช่วยลูกได้

      ขณะเกิดเหตุ พ.ต.ต.สมัยสิทธิ์ บุญมาขอม สว.(สอบสวน) สภ.ชัยพฤกษ์, พร้อมด้วย ส.ต.ท.ธงชัย เพชรพิรุณ ผบ.หมู่ฯ และ นสต.วุฒิชัย กลิ่นเมฆ อยู่ระหว่างนำสำนวนไปส่งยังสำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้ผ่านมาบริเวณดังกล่าวพอดี จึงรีบเข้าตรวจสอบและให้การช่วยเหลือทันที

      จากการสอบถามบิดาของเด็กทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้ดับเครื่องยนต์และเตรียมจะลงจากรถ แต่เผลอเอามือไปโดนปุ่มล็อกกุญแจ ขณะกุญแจยังวางอยู่บนคอนโซล หนูน้อยวัย 6 เดือน จึงติดอยู่ภายในรถโดยไม่สามารถเปิดประตูได้

      เมื่อประเมินแล้วว่าเด็กอาจเสี่ยงต่ออากาศร้อนและขาดอากาศหายใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจเร่งช่วยเหลือ โดย พ.ต.ต.สมัยสิทธิ์ บุญมาขอม ทำการทุบกระจกรถ ก่อนดึงตัวเด็กออกมาได้อย่างปลอดภัย และส่งคืนให้บิดาโดยเด็กไม่ได้รับอันตรายใด ๆ

      รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ จัดกิจกรรม “ธารน้ำใจ ช่วยน้ำท่วม จาก รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ สู่ รพ.หาดใหญ่”

      วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นพ.พรเทพ แซ่เฮ้ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหาร บุคลากรโรงพยาบาลฯ และอาสาสมัครจิตอาสา Yellow Birds ร่วมกิจกรรม “ธารน้ำใจ ช่วยน้ำท่วม จาก รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ สู่ รพ.หาดใหญ่” ด้วยการช่วยแพ็คถุงยังชีพจำนวน 100 ถุง ณ บริเวณโถงกลางหน้าลิฟต์ ชั้น 2 อาคารศูนย์ผู้สูงอายุ

      โดยสิ่งของที่บรรจุในถุงยังชีพครั้งนี้ ได้รับบริจาคจากบุคลากรโรงพยาบาลฯ จิตอาสา และประชาชนทั่วไป ซึ่งมีทั้งเครื่องอุปโภค-บริโภค และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ

      สำหรับกิจกรรมนี้มุ่งให้กำลังใจ และสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุอุทกภัยที่หาดใหญ่ล่าสุด โดยถุงยังชีพและสิ่งของที่ได้รับบริจาคทั้งหมด จะจัดส่งถึงโรงพยาบาลหาดใหญ่ในวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2568