นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีนำเข้ารถหรู แต่ภาษีนำเข้า 0% ใครได้ใครเสีย โดยระบุว่า ในวันพุธที่ 2 พ.ค. 2561 จะยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ตรวจสอบกระบวนการสอบสวนกรณีรถหรูเลี่ยงภาษี เนื่องจากเห็นว่าทางเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร DSI และอัยการ ที่สั่งไม่ฟ้องเป็นกระบวนการตรวจสอบที่ไม่ถูกต้อง และอาจมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง กรณีมีการนำรถเข้ามา 190 ใบขน จำนวน 554 คัน โดยมีการหลีกเลี่ยงภาษีจากช่องว่างของระเบียบใช้วิธีการ สำแดงว่าเป็นรถ 11 ที่นั่ง แต่นำเข้ารถ 2 ที่นั่ง และมีการประกอบเป็นรถยนต์ 7 ที่นั่ง ในพื้นที่เขตปลอดอากร เพื่อใช้สิทธิ์ไม่เสียภาษีอากร นำเข้า 40% เนื่องจากตามประกาศกรมศุลกากรที่ 72/2550 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550 ได้ระบุไว้ว่า รถยนต์ที่ประกอบ หรือ ดัดแปลงจากวัสดุภายในประเทศเกิน 40% ไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้า ทำให้รัฐเสียรายได้กว่า 2 พันล้านบาท แต่กรมศุลกากร กับอ้างว่าตรวจสอบเฉพาะเอกสารไม่ได้ดูข้อเท็จจริง ขณะที่ ดีเอสไอ และอัยการก็ไม่ฟ้อง จึงเห็นว่ากระบวนการตรวจสอบมีปัญหา ทั้งนี้นอกจากยื่น ป.ป.ช. แล้วกำลังพิจารณาด้วยว่า จะยื่นคำร้องถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่

นายวิลาศ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ และ กรมศุลกากร ที่ไม่เห็นด้วยกับการตรวจสอบดังกล่าว และเรื่องนี้เป็นคดีความมีคนไปร้อง ดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2552 จากนั้น ดีเอสไอ มีการตั้งกรรมการสอบถึง 4 ครั้ง รับเป็นคดีพิเศษที่ 10/54 ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2553 แต่ต่อมามีการสั่งยกฟ้องในวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ทั้งที่มีพิรุธในหลายเรื่อง โดยข้อตั้งข้อสังเกต ดังนี้

1. ไม่มีการนำวัตถุดิบไปผ่านกระบวนการผลิตที่ทำให้เห็นว่าเป็นกระบวนการผลิตที่ยาก เพราะยกมาติดตั้ง อีกทั้งกระบวนการไม่ใช่ผลิตอย่างง่ายตามที่ระเบียบกำหนดต้องให้หน่วยงานรัฐรับรอง เช่น สถาบันยานยนต์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทไม่เคยขอให้รับรองกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของรถยนต์ตู้เลย แต่ในรายงานของ ดีเอสไอ ระบุว่ามี 20 กว่าเรื่องที่ให้สถาบันยานยนต์รับรอง จึงสงสัยว่าที่ ดีเอสไอ บอกว่ามีหนังสือรับรองนั้นเป็นหนังสือรับรองเรื่องอะไร

2. ราคาการผลิตที่อ้างว่า 40 % เพื่อเลี่ยงภาษี คิดว่าน่าจะเป็นราคาที่ฉ้อฉลกำหนดราคาแพงเกินจริง เช่น บางรายการไม่ควรนำมาเป็นค่าวัสดุ คือ กำไรแต่กลับนำมาคิดเป็นค่าวัสดุซึ่งไม่ถูกต้อง

3.การที่กรมศุลกากรอ้างว่าไม่ได้ดูข้อเท็จจริงตรวจจากเอกสารเท่านั้น เป็นพฤติกรรมเอาตัวรอดหรือไม่

4.กรมศุลกากร ดีเอสไอ อัยการ และกรมการขนส่ง ไม่ทราบเลย หรือ ว่าการทำอย่างนี้ทำให้รัฐเสียหายขาดรายได้เท่าไหร่ และที่สั่งไม่ฟ้องโดยอ้างว่าบริษัทไทยยานยนต์ กับ บริษัทคิงส์ตัน ร่วมกันทำวิจัยโดยใช้เทคโนโลยีในการออกแบบเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกระบวนการผลิตถือว่ามีสาระสำคัญไม่ใช่กระบวนการผลิตอย่างง่ายนั้น อยากฝากถามถึงผู้เกี่ยวข้องว่า ไม่ทราบ หรือ ว่า 2 บริษัทนี้เป็นบริษัทเดียวกัน ใช้ที่อยู่เดียวกัน และที่บอกว่าใช้เทคโนโลยีชั้นสูง คือ อะไร เพราะเป็นการจ้างผลิตธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งมีข้อน่าสังเกตว่าระหว่างที่คดีนี้อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน กลับมีการขออนุญาตตั้งเขตปลอดอากรใหม่ และได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 ทั้งที่ยังเป็นคดีค้างอยู่ ทำให้สงสัยว่าเป็นเพราะรู้เป็นการภายในว่าจะรอดใช่หรือไม่

“นอกจากเรื่องรัฐเสียรายได้จากภาษีนำเข้าแล้วยังกระทบภาษีป้ายด้วย เพราะกฎหมายเขียนว่ารถ 11 ที่นั่งป้ายทะเบียนจะเป็นพื้นขาวตัวหนังสือสีฟ้า เสียภาษีป้าย 1,900 บาทรถ 7 ที่นั่งพื้นสีขาวตัวหนังสือสีดำ เสียภาษีป้ายตามซีซีของรถราว 4,000-8,000 บาทต่อปี แต่เมื่อมีการดัดแปลงรถโดยสำแดงว่าเป็นรถ 11 ที่นั่ง ทั้งที่เป็นรถ 7 ที่นั่งก็จะเสียภาษีน้อยลง ทำให้รัฐเสียหายจำนวนมาก” นายวิลาศ กล่าว