ปิดตลาด +40.04 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,543 จุด นักลงทุน เริ่มมองถึงโอกาสที่ ‘ไทย’ เปิดประเทศได้เร็วกว่าที่คาด
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ตลากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้สื่อข่าว ไทยแทบลอยด์ รายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (3 มี.ค. 64) ปิดที่ 1,543.40 จุด บวก 40.04 จุด หรือ 2.66% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 118,270.83 ล้านบาท ซึ่งมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งหุ้น CPALL ที่ราคาปรับขึ้น 7.05%, หุ้น AOT ราคาปรับขึ้น 4.21%, หุ้น CPF ราคาปรับขึ้น 5.31%, หุ้น PTT ราคาปรับขึ้น 3.14% และหุ้น BBL ราคาปรับขึ้น 3.28% เป็นต้น
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นมาได้แรง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองถึงโอกาสที่ไทยจะเปิดประเทศได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ การล็อกดาวน์ ต่างๆ เริ่มคลายลงไปแล้ว ส่งผลให้ผู้คนเริ่มกลับมาทำงานกันได้ตามปกติ และช่วยให้กำลังซื้อภายในประเทศเริ่มกลับมา โดยจะเห็นว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่โดดเด่นขึ้นมาในวันนี้
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า น่าจะฟื้นตัวกลับมาเช่นกัน จากการใช้ไฟฟ้าที่น่าจะกลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้แรงหนุนจากการที่ความกังวลในเรื่องของ Bond Yield ที่พุ่งขึ้น น่าจะเริ่มชะลอลง เนื่องจากการประชุมโอเปก ในรอบนี้น่าจะเห็นการกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงจนเกินไป ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น
ขณะที่ บล. ทรีนีตี้ คัด 13 หุ้น PE ต่ำ ลงทุนในช่วง Bond yeild ผันผวน ธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ Bond yield พุ่งแรง และคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น แนะนำลงทุนใน ธีม Reflation / Recovery / Reopening โดยจะต้องเป็นหุ้นที่ยังคงซื้อขายด้วย Valuation (PE) ในระดับต่ำด้วย เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีค่า Earning yield gap ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย จึงสามารถทนทานต่อความเสี่ยงที่ Bond yield อาจปรับสูงขึ้นอีก
ทั้งนี้หุ้นที่น่าสนใจใน 7 กลุ่ม 13 หุ้น มีดังนี้
1.กลุ่ม Hard commodities หุ้นที่เลือกคือ PTTGC, TOP, SPRC, ESSO
2.กลุ่ม Soft commodities หุ้นที่เลือกคือ STA
3.กลุ่มธนาคารหุ้นที่เลือกคือ KBANK, BBL
4.กลุ่มอาหารหุ้นที่เลือกคือ CPF, TU
5.กลุ่มอสังหาฯ หุ้นที่เลือกคือ AP, ORI
6.กลุ่มเดินเรือ หุ้นที่เลือกคือ RCL
7.กลุ่มสินค้า Consumer หุ้นที่เลือกคือ STGT
สิริวรรณ ลีลาประกอบชัย : ภาพ/ข่าว