วันที่ 23 ก.ย.63 ที่สำนักงานทนายรัชพล ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี น.ส.อรสา ดีขำ อายุ 46 ปี สาว อสม.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ได้เดินทางเข้าพบทนายรัชพล ศิริสาคร ประธานชมรมสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูกนางนาตยา เพื่อน อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นคนรู้จักกัน มาขอยืมเงินจำนวน 1 แสนบาทเพื่อไปใช้วิ่งเต้นคดีความ
น.ส.อรสา กล่าวว่า ตนเองทำงานเป็น อสม.ประจำอำเภอปากช่อง และมีอาชีพเสริมเป็นหมอนวดแผนไทย จนกระทั่งต่อมาเริ่มรู้จักนางนาตยา ซึ่งเป็นลูกค้าที่มานวดกันเป็นประจำ นางนาตยาก็มาขอความช่วยเหลือจากตนว่า มีความเดือดร้อนตะต้อวใช้เงินจำนวน 1 แสนบาทเพื่อไปใช้จ่ายในการสู้คดีคดีหนึ่ง ด้วยความที่รู้จักกันมาหลายปีและเห็นว่านางนาตยากำลังเดือดร้อน พร้อมที่จะทำหนังสือสัญญากู้เงินตามกฏหมายใหม่กับตนเองไว้เป็นหลักฐาน ตนจึงตัดสินใจช่วยเหลือด้วยการนำโฉนดที่ดินของน้องสาว จำนวน 1 ไร่ 2 งาน 14 ตารางวา ไปจำนองกับเจ้าหนี้รายหนึ่งในพื้นที่เอาไว้ โดยตนได้เอาโฉนดที่ดินของตนไปแลกเปลี่ยนกับโฉนดที่ดินของน้องสาวมาแทน จากนั้นเมื่อได้เงินมาก็นำเงินไปให้นางนาตยาไปใช้ในการต่อสู้คดีตั้งแต่ปลายปี 61 จากนั้นนางนาตยาก็ย้ายไปอยู่กับสามีชาวต่างชาติที่อิตาลี หลังจากนั้นก็ใช้การติดต่อกันผ่านทางไลน์อยู่จนกระทั่งนางนาตยาเริ่มไม่อ่านไลน์ที่ตนไลน์ไปสอบถามเกี่ยวกับเงินกู้ยืมจำนวนดังกล่าว จนกระทั่งต่อมาเมื่อวานนี้ ทางเจ้าหนี้ที่ตนนำโฉนดไปจำนองไว้ได้โทรศัพท์มาทวงหนี้ที่ตนเองไปกู้ไว้ว่า หากภายในเดือนตุลาคมเดือนหน้า ตนยังไม่มีเงินไปชำระหนี้หรือส่งดอกเบี้ยที่ค้างไว้ จะดำเนินการฟ้องร้องยึดโฉนดที่จำนองไว้ ซึ่งปัจจุบันมียอดค้างชำระกว่า 2 แสนบาทแล้ว
นางอรสา กล่าวอีกว่า ได้พยายามติดต่อกับนางนาตยาที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศด้วยไลน์ แรกๆ ก็ยังสามารถติดต่อได้และนางนาตยายืนยันว่าจะหาเงินมาชำระหนี้สินให้ แต่มาในระยะหลังไม่สามารถติดต่อกับนางนาตยาได้เลย ไปขอที่อยู่กับทางครอบครัวนางนาตยาเพื่อจะส่งจดหมายไปทวงถามก็ไม่มีใครให้ ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ร้อนใจเพราะเหลือเวลาอีกไม่นาน ก็จะถึงกำหนดที่เจ้าหนี้ขีดเส้นตายเอาไว้ ตนหมดหนทาง หมดที่พึ่งพา สามีก็เสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงลูกชายเพียงคนเดียว ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นทุนเป็นสมบัติให้เขาได้เรียนหนังสือ ก็มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ จึงตัดสินใจเดินทางมาร้องขอความช่วยเหลือจากทนายรัชพล
ทางด้านทนายรัชพล กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งที่ค่อนข้างจะมีความยุ่งยากในขั้นตอนนิดหน่อย เพราะผู้เสียหายจะต้องไปฟ้องศาลเพื่อต่อสู้คดีให้ชนะ จากนั้นจึงจะทำการสืบทรัพย์ของคู่กรณีว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้างแล้วร้องบังคับให้นำทรัพย์สินไปขายเพื่อมาชำระหนี้สินต่อไป โดยในคดีนี้ตนจะทำเรื่องถึงกระทรวงต่สงประเทศเพื่อให้ช่วยสืบเสาะหาที่อยู่ของคู่กรณีเพื่อหาทางนำเงินมาใช้หนี้ที่กู้ยืมต่อไป ซึ่งตนอยากฝากเตือนประชาชนทั่วไปว่า ในการทำสัญญากู้ยืมใดๆ ก็ตามควรจะให้ผู้กู้ยืมมีคนค้ำประกันด้วย จะปลอดภัยมากกว่าในการทำสัญญาระหว่างกันสองคน