หอบหลักฐานร้องกองปราบเร่งเอาผิดสองผัวเมียแสบ ตุ๋นลงทุนกาสิโน สูญเงินเกือบ 40 ล้านบาท เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ส.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรือ อี้ เลขานุการคณะทำงานประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายวิโรจน์ (สงวนนามสกุล -นายวิโรจน์ เอี่ยมสินวัฒนา) นักธุรกิจจัดจำหน่ายและนำเข้าเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าช่างรายใหญ่ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์ รอง สว.กก.1 บก.ป. เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่ถูก นายไพบูลย์ และ น.ส.วัลยา (สงวนนามสกุล นายไพบูลย์ จตุรานน และ น.ส.วัลยา วิทยถาวรวงค์) สองสามีภรรยา นักธุรกิจส่งออกจิวเวอร์รี่และเครื่องเงิน ฉ้อโกงโดยการหลอกให้นำเงินมาร่วมลงทุนธุรกิจบ่อนการพนันต่างประเทศจนสูญเงินไปกว่า 39 ล้านบาท โดยนำเอกสารการโอนเงินมามอบให้กับเจ้าหน้าที่เป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติม
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อปี 2558 นายไพบูลย์ และ น.ส.วัลยา สองสามีภรรยา ลูกค้าที่เช่าอาคารพาณิชย์ของตนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ได้เข้ามาชักชวนให้นำเงินมาร่วมลงทุนธุรกิจบ่อนการพนันหรือกาสิโน โดยอ้างว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นมรดกตามพินัยกรรมที่ได้รับมาจากชาวตุรกี ซึ่งมีอยู่ 6 แห่ง ตั้งอยู่ในหมาเก๊า ฮ่องกง และที่ ภูเก็ต และกำลังมีโครงการจะนำไปขายต่อให้กับนายทุนต่างชาติในราคา 6 หมื่นล้านบาท หากตนร่วมลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินจำนวนกว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่การจะรับมรดกนี้ได้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการดำเนินการ และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหรือบุคคลสำคัญทางการเมืองหลายคนคอยให้การช่วยเหลือ ด้วยความที่รู้จักสองสามีภรรยาคู่นี้มานานกว่า 16 ปี และเห็นว่ามีธุรกิจมั่นคง จึงหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุนด้วย โดยทยอยโอนเงินให้ครั้งละหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน รวม 1,026 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 39 ล้านบาท
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาตนเริ่มเอะใจ เพราะเห็นว่าเวลาผ่านไปกว่า 6 ปี แล้ว และเงินที่ลงทุนไปนั้นก็มีจำนวนค่อนข้างมาก แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันไว้แต่อย่างใด จึงทวงถามสองสามีภรรยาดังกล่าวแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงอ้างว่าเพิ่งขายบ่อนทั้งหมดได้อยู่ระหว่างขนเงินสดเข้ามาภายในประเทศ แต่ด้วยเงินนั้นมีจำนวนมากต้องใช้รถขนเงินมากถึง 29 คัน ทำให้ล่าช้า ขอให้รอก่อน ประกอบกับตนได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับบ่อนดังกล่าวจึงทราบว่าเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินจากตน จึงได้เข้าแจ้งความยังกองปราบเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มีการรับเรื่องไว้แล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐาน กระทั่งล่าสุดตนสามารถรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงินทั้งหมดในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมาได้ จึงได้มาเข้าพบตำรวจกองปราบอีกครั้งในวันนี้เพื่อนำหลักฐานเหล่านี้มามอบให้
“เงินที่นำไปลงทุนนั้นเป็นเงินเก็บที่ได้มาจากการทำธุรกิจมาทั้งชีวิต แถมยังมีบางส่วนที่ตนต้องไปยืมญาติพี่น้องมาลงทุนเพิ่มเพราะอยากได้เงินก้อนแรกกลับคืน เนื่องจากถูกสองสามีภรรยาขู่ว่าหากไม่นำเงินมาลงทุนเพิ่มเงินที่ลงทุนไปทั้งหมดก่อนหน้านี้จะกลายเป็นสูญเปล่า เมื่อไม่มีทางเลือกจึงจำยอมต้องทำตาม จนตอนนี้กลายเป็นหนี้สินญาติพี่น้องหลายล้านบาท” นายวิโรจน์ กล่าว
ด้าน นายแทนคุณ กล่าวว่า ในส่วนของตนเองที่มาเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบด้วยในวันนี้เพราะตนทราบว่ามีการนำชื่อของตนไปใช้ในการแอบอ้างว่าเป็นนอมินีบริหารบ่อนดังกล่าวด้วย ทั้งๆที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงอยากเข้ามาช่วยเหลือนายวิโรจน์ คอยประสานงานช่วยติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าวให้อีกทาง