หน้าแรกเศรษฐกิจ-การเงินศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุดเมื่อไตรมาส 2

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุดเมื่อไตรมาส 2

จากมิติการหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) คาดปีนี้จีดีพี -10% ขณะที่หากเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวแบบ U-Shaped ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเครื่องใช้ไฟฟ้าโรงแรมและภัตตาคารยังน่าห่วงนางสาวณัฐพรตรีรัตน์ศิริกุลผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยจำกัดกล่าวว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากทั้งสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 การแข็งค่าของเงินบาทรวมถึงประเด็นทางการเมืองทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 มาที่ -10% จากเดิมที่ -6% ขณะที่มองว่าความไม่แน่นอนดังกล่าวจะทำให้เห็นการฟื้นตัวในรูปแบบยูเชฟ (U-Shaped) ซึ่งการจะประคองเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงฐานตัว U ได้เร็วเพียงใดนั้นกลายเป็นโจทย์ยากของทางการไทยที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการออกมาตรการเศรษฐกิจเพิ่มเติมในขนาดที่เพียงพอและทันเหตุการณ์ในสภาวะการณ์ที่ไม่นิ่งกับต้นทุนจากการออกมาตรการนั้นเช่นหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นรวมถึงความเสี่ยงในการแพร่ระบาดอีกครั้งของไวรัสฯเมื่อทยอยเปิดประเทศเป็นต้น

ขณะที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอ็มอี ให้มีสภาพคล่องแล้วกว่า 3.6 แสนล้านบาท และรัฐบาลยังมีแผนการใช้จ่ายรออยู่อีกมากในระยะข้างหน้าแต่ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายที่จำเป็นในการฟื้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานจึงยังไม่กังวลระดับหนี้สาธารณะในขณะนี้ส่วนด้านนโยบายการเงินคาดว่ากนง.คงจะยังไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายและเลือกติดตามสถานการณ์ก่อนโดยเฉพาะช่วงหลังจากสิ้นสุดมาตรการพักหนี้ฯในช่วงปลายไตรมาส 3

ด้านภาคการเงินนางสาวธัญญลักษณ์วัชระชัยสุรพลรองกรรมการผู้จัดการคาดว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2563 จะขยายตัว 6.5-8.0% เทียบกับที่ขยายตัว 2.3% ในปี 2562 ซึ่งการเติบโตสูงกว่าปกติสะท้อนผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและภาคธุรกิจที่ขอสินเชื่อเสริมสภาพคล่องมากกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจแท้จริงโดยยังต้องติดตามประเด็นคุณภาพหนี้ที่ระดับเอ็นพีแอลคงจะขยับขึ้นเข้าหา 3.5% ณสิ้นปี 2563 เทียบกับ 3.23% ณสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ขณะที่แม้ภาครัฐจะต้องระดมทุนอีกจำนวนมากในตลาดการเงินแต่เชื่อว่าเครื่องมือของธปท.ที่มีอยู่จะช่วยบริหารจัดการไม่ให้กระทบอัตราดอกเบี้ยในระบบได้และปัจจุบันเงินฝากธนาคารพาณิชย์ก็เติบโตสูงราว 9-10% จากปีก่อน

นอกจากนี้รัฐบาลคงจะออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาเพิ่มเติมโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่จะช่วยเพิ่มการจ้างงานไปในตัวหลังจากในช่วง 6-8 เดือนแรกได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่องต่างๆราว 3.6 แสนล้านบาทซึ่งประสิทธิผลของมาตรการเพิ่มเติมขึ้นกับระดับการลดความเสี่ยงเครดิตของลูกค้าหรือการผ่อนปรนเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้กับสถาบันการเงินส่วนความเข้มแข็งของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยนั้นมีสถานะเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 15.8% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5-9.5% และสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศอีกทั้งมีสภาพคล่องในระดับสูงทำให้มั่นใจว่ายังทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการประคองลูกค้าผ่านวิกฤตได้

ส่วนแนวโน้มธุรกิจนั้นนางสาวเกวลินหวังพิชญสุขผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการมองว่าสถานการณ์รายได้ของธุรกิจแม้จะมีบางพื้นที่ที่อาจทยอยปรับตัวดีขึ้นบ้างตามนโยบายทยอยเปิดประเทศและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐแต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ภาวะปกติโดยธุรกิจที่มีสัดส่วนกิจการที่มีความเปราะบาง 3 อันดับแรกได้แก่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารซึ่งคงเป็นกลุ่มที่ทางการอาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img