ว่า สื่อมวลชนที่ถือเป็นบุคคลสำคัญ หากเเพร่ข่าวอย่างเดียว คนนู้นว่าอย่างนี่คนนี้ว่าอย่างนั้นก็จะตอบโต้กันไปมา แต่ต้องคิดจะทำอย่างไรให้เกิดความมีเสถียรภาพของรัฐบาล และไม่ให้เกิดความขัดแย่ง อย่าเอาทุกอย่างมาพันกัน ระหว่างอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ และสื่อฯมีหน้าที่เสริมสร้างความเข้าใจที่ดี อย่านำเสนอแต่ข่าวความขัดแย้ง แต่บางสื่อฯนำเสนอข้อเท็จเกิดอะไรขึ้นแล้ว อยากให้เขียนสิ่งเหล่านี้ลงไปบ้าง แต่ตนก็บังคับใครไม่ได้ ต้องช่วยกันพูดกันเข้าใจ ประเทศชาติไม่ใช่ของตนเอง ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของคนไทยประเทศ จะเปลี่ยนแปลงอะไรต้องดูพื้นฐานของความเป็นไทย พร้อมย้ำว่า ต้องดูเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง เรื่องเป็นตายของประเทศ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ขอให้เป็นไปตามระเบียบขั้นตอน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ปัจจุบันโลกดิจิทัลนั้นคิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว เชื่อเร็ว โดยที่พื้นฐานยังไม่พอ ขาดความรู้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ หลายประเทศเกิดขึ้นก่อนแต่แก้ได้ด้วยความสามัคคี และเลิกขัดแย้งแบบนั้นอีกแล้ว แลัหลายเรื่องมีบทเรียนมาหมดแล้ว พร้อมถามจะเข้าสู่วัฏจักรอย่างเดิมหรือ หากเข้าสู่วัฏจักรก็จะกลับสู่ที่เก่า ที่ทำให้ตนต้องมาอยู่ตรงนี้ โดยที่ตนไม่เคยคิดใดๆทั้งสิ้น ตราบใดที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่แก้ไขปัญหาทุกอย่างให้มีเสถียรภาพให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นภาพเศรษฐกิจจะพัง
ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ยังแนะให้ทุกคนดูตัวเองก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะตายวันไหน ตื่นเช้ามาขอก้มดูเท้าตัวเองก่อน ว่า ลอยจากพื้นหรือไม่ อย่ามองแค่ขางกางเกงตัวเอง เหมือนตนเองที่ดูตัวเองทุกวัน หากทำไม่เป็นให้มาหา // ตนเองจะสอน บางคนนอนไม่หลับก็ต้องพึ่งยาแต่กินมากก็ด้านยา ต้องเอาธรรมมะเข้าข่ม / ตนเองไม่เกลียดใคร เพราะเกลียดใคร บาปจะอยู่ที่ตัวเรา จึงขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และเชื่อว่า คนไม่ดีจะเปิดหน้ามาเรื่อยๆ เพื่อให้ดำเนินการแก้ปัญหาให้ได้
อย่างไรก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า นายกรัฐมนตรี ค่อนข้างเครียด และใช้เวลากล่าวปาฐกถามากกว่า 1 ชั่วโมง และพูดวกไปวนมาหลายครั้ง เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียรการสอน นักเรียน นักศึกษา และสื่อมวลชน ก่อนจะบอกว่า วันตัวเองพูดมาก พูดเยอะก็โดนด่า พูดน้อยก็โดนด่า พร้อมท้าทายให้สื่อฯถามคำถาม เพื่อให้ตนเองตอบบนเวที อีกด้วย