จากกรณี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในฐานะผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้กองคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 จากกรณีปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.อ.วิระชัย ในคดีการลอบยิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. กล่าวถึงคดีดังกล่าวว่า ยอมรับว่าทาง สตช.ได้มีการส่งฝ่ายกฎหมายมาเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.วิระชัย จริง ซึ่งขณะนี้ได้มอบเรื่องให้กับรองผู้บังคับการกองปราบปราบเป็นผู้รับคำร้องไว้ ก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนตามกระบวนการกฎหมายเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับความคืบหน้าทางคดีนั้นภายในสัปดาห์หน้าทางกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) จะมีการเรียกประชุมทีมพนักงานสอบสวนเพื่อวางแนวทางการสอบปากคำพยานบุคคลและแนวทางการสืบสวนรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ขณะที่ในกลุ่มของพยานบุคคลที่อาจจะมีการเรียกมาสอบปากคำนั้น เบื้องต้น จะอยู่ในกลุ่มของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบรรดาสื่อมวลชนต่างๆที่ได้นำคลิปเสียงไปออกอากาศ เพื่อสืบหาต้นทางว่าได้รับคลิปเสียงเหล่านี้มาได้อย่างไร ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีใครบ้างที่จะถูกออกหมายเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยาน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า แม้ว่าทางกองปราบจะเริ่มมีการดำเนินการไปบ้างแล้วในบางส่วน แต่เนื่องจากเรื่องดังกล่าวถือเป็นคดีใหญ่ มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องและตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ดังนั้นเพื่อให้คดีมีความรอบคอบเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทางกองปราบฯจึงส่งเรื่องต่อกลับไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับบัญชากองปราบปราม จัดตั้งคณะทำงานสอบสวนในคดีนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอตั้งคณะทำงานตามระเบียบ โดยจะมีนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คาดว่าจะใช้เวลาจัดตั้งไม่นาน หลังจากได้คณะทำงานก็จะประชุมเพื่อขออนุญาตสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อไป
รายงานแจ้งอีกว่า แม้ว่าคดีดังกล่าวจะมีผู้เกี่ยวข้องเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ทางกองปราบเองในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีดังกล่าวเองก็ไม่ได้หนักใจกับการทำคดีนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบและคำสั่งของผู้บังคับบัญชา