ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่าตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2563 มีผู้นำเข้าเหล็กดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด 117 ราย คิดเป็นน้ำหนักรวมเกือบ 750,000 ตัน มูลค่ากว่า 15,100 ล้านบาท โดยนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนของสินค้าต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ หากเหล็กดังกล่าวไม่มีมาตรฐานควบคุมคุณภาพ อาจจะส่งผลต่อคุณภาพของสินค้าต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนซึ่งเป็นผู้ใช้งานสินค้าดังกล่าว ในขณะที่ในประเทศมีผู้ประกอบการที่ทำเหล็กชนิดนี้จำนวน 11 ราย และในจำนวนนี้มี 9 ราย ได้มายื่นขอใบอนุญาตตามมาตรฐานใหม่จาก สมอ. แล้ว จึงขอเตือนไปยังผู้ประกอบการที่นำเข้าเหล็กดังกล่าว ให้มายื่นขอใบอนุญาตก่อนวันที่มาตรฐานจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้การค้าขายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สมอ. ขอเตือนไปยังผู้ประกอบการที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายในระหว่างที่มาตรฐานยังไม่มีผลบังคับใช้ เร่งนำเหล็กดังกล่าวที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศเป็นปริมาณมาก ว่าจะเข้าตรวจสอบโดยละเอียด และจะดำเนินการให้ถึงที่สุดกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สมอ. ได้ดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มเหล็กอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562–6 กรกฎาคม 2563 สมอ. ได้ยึดอายัดเหล็กไม่ได้มาตรฐานแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากเหล็กดังกล่าวถูกนำไปใช้งานจะส่งผลเสียหายต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก จึงขอเตือนไปยังผู้ประกอบการทั้งผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ให้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย