โดยนายพิเชษฐ กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองได้แถลงข่าวไปถึงการสนับสนุนนายมงคลกิตติ์เป็นรัฐมนตรี ซึ่งมีเสียงสนับสนุนถึง 7 พรรค จาก 11 พรรค ในหลักการประชาธิปไตยก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ ส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยก็เดินไปตามแนวทางของตนเอง ซึ่งตนเองได้แถลงข่าวถึงเหตุผลของการสนับสนุนพร้อมทั้งขอโอกาสหากมีการปรับ ครม. โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกดดัน เพราะอยู่ด้วยกันมา 1 ปีเต็ม รู้ว่าใครจะสามารถเป็นตัวแทนของพรรคเล็กได้
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือหากในกลุ่มพรรคเล็กมีตัวแทนที่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็จะสามารถผลักดันนโยบายของกลุ่มพรรคเล็กที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนได้ในลักษณะการออกเป็นมติ ครม. ซึ่งคนที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดคือนายมงคลกิตติ์ โดยตนเองได้ถามทุกคนแล้วแต่ก็ไม่ได้บังคับใคร ใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ มองว่าเสียงส่วนใหญ่ 7 พรรค ก็น่าจะเพียงพอ และคงไม่ต้องเข้าหานายกรัฐมนตรี แต่ทั้งหมดยังเป็นพรรคที่ทำงานร่วมรัฐบาล ยังคงยกมือให้รัฐบาล
ขณะที่นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า เสียงที่ไม่เห็นด้วยนั้นมองว่าก็เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย เหมือนกับการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อผ่านการสรรหามาแล้วก็มีหน้าที่ดูแลคนไทยทุกคน โดยไม่ได้เกี่ยงงอน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของผู้บริหารประเทศที่ต้องมีจิตใจเป็นกลาง เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อความปรองดองของคนในชาติ

