จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. นำกำลังเข้าจับกุมน.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก อายุ 29 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ,พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย,ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน” ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งภายในซอยเทิดราชัน 13 ถ.เทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้ด.ช.อิ่มบุญ อายุ 2 ขวบ ซึ่งเป็นบุตรแท้ๆ และ ด.ญ.อมยิ้ม อายุ 4 ขวบ บุตรบุญธรรม ล้มป่วยด้วยอาการผิดปกติ เพื่อสร้างเรื่องให้ดูน่าสงสารในการหลอกเอาเงินจากคนอื่น จนทำให้ ด.ญ.อมยิ้มเสียชีวิต ส่วน ด.ช.อิ่มบุญ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว แต่ยังคงต้องอยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลังผลการตรวจวินิจฉัยของแพทย์พบสารเคมีฤทธิ์ออกฤทธิ์เป็นกรด คล้ายกับสารเคมีที่เป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างห้องน้ำ หรือ น้ำยาซักฟอก ในร่างกายจำนวนมากจนทำให้อวัยวะภายในเสียหาย ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 พ.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. กล่าวว่าถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งในเรื่องของสารเคมีและดีเอ็นเอตัวเด็ก คาดว่าภายในสัปดาห์นี้น่าจะทราบผลอย่างเป็นทางการ ซึ่งผลการตรวจเหล่านี้จะถือเป็นหลักฐานสำคัญในการใช้สืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าวให้กระจ่างสิ้นข้อสงสัย อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่าเป็นกังวลหรือไม่หากผลพิสูจน์ออกมาแล้วปรากฎว่า ด.ช.อิ่มบุญ เป็นลูกของ น.ส.นิษฐา จริงตามที่กล่าวอ้าง ในส่วนนี้ตนยืนยันว่าไม่ได้กังวลมากนักเพราะความผิดทางคดีเราพิจารณาจากการผลกระทบที่เด็กได้รับกับการกระทำเป็นหลัก
พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องการพิสูจน์ทราบให้สิ้นข้อสงสัย รวมถึงการตรวจสอบสิทธิการทำประกันคุ้มครองตัวเด็กต่างๆว่าก่อนหน้านี้เคยมีการทำประกันไว้ให้เด็กทั้ง 2 คนไว้บ้างหรือไม่ เพราะเกรงว่าอาจมีการทำประกันให้เด็กเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานไปยังบริษัทประกันภัยต่างๆเพื่อให้ช่วยตรวจสอบข้อมูล ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะทราบรายละเอียดในส่วนนี้
พ.ต.อ.ปทักข์ กล่าวว่า นอกจากนี้แล้วยังได้ทำการตรวจสอบประวัติของ น.ส.นิษฐา พบว่าในอดีตเคยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงสินค้าหลอกขายผ่านทางออนไลน์ มาแล้ว เมื่อประมาณปี 2561 ศาลตัดสินจำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากผู้ต้องหาได้ร้องขอต่อศาลว่าต้องดูแลลูกที่ป่วยเพียงลำพัง จึงเห็นใจลดโทษให้เป็นรอลงอาญา 2 ปี ก่อนจะมาก่อเหตุหลอกลวงผู้คนดังกล่าว ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าทางพนักงานสอบสวนกองปราบนั้นได้มีการแจ้งข้อหาเกี่ยวกับความผิดค้ามนุษย์กับ น.ส.นิษฐา เพิ่มเติม นั้น ขอชี้แจงในส่วนนี้ว่าไม่ได้เป็นการแจ้งเพิ่ม ซึ่งข้อหาความผิดดังกล่าวนั้น เราได้เคยแจ้งไปแต่แรกแล้ว คือข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้จะสามารถจับกุมตัว น.ส.นิษฐา ได้แล้ว แต่แนวทางสืบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆยังคงดำเนินการต่อไป โดยเฉพาะการสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยอดเงินบริจาคที่หายไปจากบัญชี เพื่อดูว่ามีการยักย้ายถ่ายเทหรือไม่ และเพราะเหตุใดเงินในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชี จึงมียอดเงินคงเหลืออยู่ไม่มาก ทั้งๆที่เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินในช่วงปี 2561-2563 ย้อนหลังจะพบว่ามีเงินหมุนเวียนเข้าออกบัญชีมากกว่า 15 ล้านบาท จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 ปีกว่าเงินจำนวนมากขนาดนี้ถูกนำไปใช้ทำอะไร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากพบว่าในบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชีมีการเคลื่อนไหวโอนเงินเข้าออกมากกว่า 8 พันครั้ง ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ยังได้มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใกล้ชิดน.ส.นิษฐา อีกด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเชื่อมโยงให้แน่ชัด อีกครั้ง