ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย และการกระทำในพระปรมาภิไธยของวาระมหากษัตริย์ ในวาระที่ ประธานศาลฎีกา “นายชีพ จุลมนต์” ได้เบิกผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรม สำนักศาลยุติธรรม จำนวน 162 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิภาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โดยทุกครั้งในการเข้าเฝ้าจะจำพระราชดำรัสของพระองค์ของท่านจะน้อมนำพระราชดำรัสของไปปฎิบัติ
ในครั้งนี้ “นายสราวุธ เบญจกุล” เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวบางส่วนว่า ท่านทรงมีพระราชดำรัสหลายเรื่องเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย การกระทำในพระปรภิไธยของพระองค์ท่าน ทั้งในเรื่องการอำนวยความยุธิธรรมแก่ประชาชน ทรงเน้นว่า นับเป็นเรื่องที่สำคัญและจะเป็นเรื่องสำคัญกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ โดยบรรดาผู้พิพากษาทั้งปวงจะนำพระกระแสพระราชดำรัสไปปฎิบัติอย่างเคร่งครัด
กระหือกระเหียนกันมาหลายเพลา “คนอยากเล่นการเมือง” แห่ “นอมินา” ให้ตัวแทนไปนอนกินพื้นที่เพื่อจะได้เป็นเบอร์ที่ตนหมายตา เพียงวันเดียว นักการเมือง ได้รับการจดทะเบียนสมใจ วันเดียว 42 พรรค ดูตามชื่อเสียงแล้ว ยังเห็นว่า “พรรคเต็ง ๆยังไม่มา” มีแต่พรรค”มีนาย”ไปเสียมากหน่อย ก็สบายไป เพราะการไปทำงานตามเจ้าแบบนี้ ไม่ต้องเสียงชีวิต มีแต่ได้รับ เสียง ฟรี ได้รับค่าใช้จ่ายจาก “นายท่าน” ส่วนเรื่องเสี่ยงชีวิต พวกที่โผล่มาวันแรกเหล่านั้น มีแต่ “ตัวประกอบ” ทั้งสิ้น
ดูตามหน้าตา และชื่อเสียง แต่คนมีแต่มองผ่าน ประเภท “นายสั่งไป” ทั้งนั้น ซึ่งทางจะถูกหอบเอกสารไปวัดคุณสมบัติ และ จะมีการแจ้งจาก กกต. จะประกาศภายใน 30 คน ว่ามีคนที่ผ่านไปกี่พรรค มีตังค์ไปใช้ในการทำการหาเสียงแค่ไหน ดูแล้วคงมีแต่ “ลิเกออกแขก” เท่านั้น เพราะ ลิเกเขาต้องเก็บพระเอกมาลงตอนดึก ๆ
ในขณะที่ บรรดานักการเมืองรุ่นแรกนั่งกันลุ้น ทางฝ่ายกลุ่มที่คนชอบลิเกการเมือง ต่างเอนไปดูงาน ทางฝ่ายแสดง “นักฝ่ายบู๊” ต่างก็เอาน้ำมันขี้โล้ จากเมืองยูเครนออกมาแสดงการเป็นยกเป็นใหญ่ งานนี้ ดูแล้วเห็นว่า “โรงหนังบู๊” เรื่องรถถังประชันบาน อย่างดีก็เด็ก ๆเท่านั้น ส่วนที่เริ่มจะรักบ้านรักเมือง เขาต่างหันไปดูการแสดง “จ่าปื๊ด” เค้าเปิดโรงที่ริมทะเลพัทยา งานนี้ฝรั่งมังค่า ทั้งนักข่าว ทั้งสปาย แถม ทหารหาข่าว ตำรวจหารายงาม ไปสนุกกันกว่าจนพระจันทร์ขึ้น ก็ถึงเวลาที่ “ตำรวจ” ตีตั๋วปิดวิก ก็ดีเพราะ ค่ำ ๆมืด ๆ มันอันตราย ยังหัวหน้า”คุณจ่า”แกสามารถบังกายไปได้ คงไม่ที่ได้มีใครไปทำอะไรแกหรอก เพราะใคร ๆก็รู้ ใคร “รังแกนักศึกษา” นั่นหมายความว่า หาทาง “เสียงตก”
ใครหาเรื่องรังกูศิษย์ที่ได้รับจากนิสิตเป็นหัวหน้านิสิต ท่านว่า อาจารย์คนนั้น มีสิทธิที่จะถูกอัปเปหิจากมหาลัย ส่วนน้องหัวหน้าที่ได้รับการได้รับการแต่งตั้ง ตอนนี้มีมหาวิยาลัยรอบโลกเชิญไปเรียนฟรี ๆ แต่คนอย่าง “รังสิมันต์” ต้องตอบ โน แต๊ง ลุ้นกันให้โลกเห็นว่า ระหว่าง “อาจารย์ห่วย กับ นิสิตสมองใส “ ใครจะยืนอยู่ในมหาลัยใหญ่วันนี้
หนุมาน 65