นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวทางในการประชุมสภาที่ต้องพิจารณา พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 (พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท) , พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 , พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ว่า พรรคฝ่ายค้านได้ปรึกษากันว่าในแนวทางเรื่องการตรวจสอบการอภิปรายนั้น มีประเด็นที่จะต้องอภิปราย ในเรื่องของสาธารณสุข การช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ และเรื่องเกี่ยวกับการฟื้นฟูด้านเศษฐกิจ การที่ออกพ.ร.กออกมา เห็นด้วย เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน แต่การที่ออกมาโดยไม่มีรายละเอียดการใช้จ่ายเลย ในส่วนนี้ก็จะต้องมีการสอบถามถึงการใช้จ่ายเงินอย่างละเอียด
ทั้งนี้ การบริหารเม็ดเงินที่ให้อำนาจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากมาย นายกรัฐมนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบหากเกิดปัญหาความเสียหายขึ้นในอนาคต เพราะการตรวจสอบดูแลเงินส่วนมีเพียงกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาเพียง 5 คน ซึ่งอาจเกิดการทุจริตขึ้นได้ ด้านพรรคก้าวไกล จึงได้มีการเสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อตรวจสอบดูแลการใช้งบประมาณในส่วนนี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข้อสรุปของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต้องการให้รัฐบาลแยกรายละเอียดของการใช้งบประมาณในแต่ละพ.ร.ก.เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสที่สุด ซึ่งการเปิดสภาครั้งนี้ไม่เห็นด้วยที่จะมีการอภิปรายเพียงแค่ 3 วัน ควรเปิดให้มีการอภิปรายอย่างเต็มที่ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการชี้แจงของรัฐบาลว่าละเอียดมากน้อยแค่ไหน
พร้อมกันนี้ ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลรวบพ.ร.ก.แต่ละฉบับไว้ในวาระเดียว อยากให้พิจารณาเป็นรายพ.ร.ก.เพราะแต่ละฉบับมีข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน
เช่นเดียวกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ก็แสดงความเห็นว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลควบรวมพ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับไว้ในครั้งเดียว ควรแยกพิจารณาพ.ร.ก.ทีละฉบับเพราะแต่ละฉบับมีวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องเงินเยียวยา ต้องมีการสอบถามว่าทำไมรัฐบาลต้องกลั่นกรองให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าเป็นอย่างมาก จนทำให้บางคนที่รอไม่ได้ต้องฆ่าตัวตาย รัฐบาลต้องเข้าใจว่าความเดือดร้อนขณะนี้เกิดการวิกฤตการไม่ใช่การเดือดร้อนมี่เกิดขึ้นตามปกติ และเชื่อว่า เมื่อมีการพิจารณาเงินกู้สิ้นสุดลงก็ยังมีคนที่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออยู่ดี ไม่ใช่ว่าเงินไม่มากพอแต่ผิดที่หลักคิดตั้งแต่แรก
ส่วนเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ หน่วยงานรัฐไม่ควรคิดถึงเงินทอน แต่ควรจะทำโดยให้ประชาชนมีส่วนในการคิดและได้ลงมือทำเอง