นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและสมาชิกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้รับหมายเรียก โดยแจ้งข้อหา ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศ คสช. และให้ตนไปพบเจ้าหน้าที่ในวันที่ 15 มี.ค.61 นั้น ยังไม่รู้ว่ามีสาเหตุใด เพราะระยะหลัง ข่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่สื่อคาดหวังว่า ตนจะลงสมัครผู้ว่า กทม. และตนเองก็ไม่ค่อยได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบ่อยนัก นอกจากจะมีสาเหตุของเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมากจริงๆ และได้มีการเสนอข้อแนะนำอย่างสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนเดือดร้อนตามที่ได้พูดคุยกันไว้
นายพิชัย ยังกล่าวอีกว่า อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาบ้างแต่ก็น่าจะดีกว่านี้มาก หากได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีความรู้ความสามารถในการบริหาร และไม่ต้องติดกรอบปัญหาการเมืองที่ยังเป็นเงื่อนไขของหลายประเทศที่ไม่เจรจาการค้าด้วย และยังมีปัญหาการกระจายรายได้ที่มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ได้ประโยชน์จากการเจริญเติบโต จนดูเหมือนเป็นการผูกขาดประเทศนี้ไปแล้ว ซึ่งการผูกขาดนี้จะปิดกั้นโอกาสของประชาชนส่วนใหญ่ที่จะพัฒนาก้าวขึ้นมาได้ จึงไม่เข้าใจว่าจะมาเรียกตนด้วยเหตุใด อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า ต้องการเรียกตนเพื่อกลบข่าวกระแสนิยมที่กำลังตกต่ำอย่างมากของรัฐบาลในปัจจุบันหรือไม่
อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระแสการทุจริตคอรัปชั่นที่พุ่งขึ้นสูง จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ระบุว่า ดัชนีคอรัปชั่นพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี และอาจมีการทุจริตคอรัปชั่นพุ่งขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท อีกทั้งสวนดุสิตโพลยังให้รัฐบาลสอบตกเรื่องทุจริตคอรัปชั่นโดยได้คะแนนเพียง 4.85 จาก คะแนนเต็ม 10 และแม้องค์กรความโปร่งใสสากลจะจัดอันดับความโปร่งใสของไทยอยู่ที่ 96 ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่ 101 แต่ก็ยังต่ำกว่า ปี 2558 ที่อันดับ 76 มาก และองค์กรความโปร่งใสสากลนี้ ยังระบุว่า ไทยมีการจ่ายใต้โต๊ะเป็นอันดับ 3 ซึ่งสูงกว่า กัมพูชา และ เมียนมาเสียอีก ดังนั้น จึงขออย่าได้นำการเรียกตนเพื่อกลบปัญหาเหล่านี้ ทั้งนี้จึงอยากถามว่า การเรียกตนทั้ง 10 หนนี้ เป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพราะรัฐบาลได้มีมติให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับดำเนินการตรงข้ามหมด แม้กระทั่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เช่น ฮิวเมนไรท์วอทช์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฯลฯ ยังตำหนิรัฐบาลหลายครั้ง