8 มีค.2563กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก., พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป., พ.ต.อ.ณัฐพงษ์ ปิตะบุตร รอง ผบก.ป., ว่าที่ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.มนูญ แก้วก่ำ, พ.ต.ท.ธีรภาส ยั่งยืน รอง ผกก.4 บก.ป.พ.ต.ต.จักรี กันธิยะ สว.กก.4 บก.ป., ร.ต.อ.เกียรติบดินทร์ วงค์งาม, ร.ต.อ.ดิฐาศักดิ์ โชติเธียรศรณ์, ร.ต.อ.อัคนี ณ บางช้างรอง สว.กก.4 บก.ป. กับพวก ร่วมกันจับกุม
1. นายสำรอง หาญสมบัติ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงปทุมวัน ที่ 5/2463ลงวันที่ 23 มกราคม 2563ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”
2.นางสาววิไลลักษณ์ อินทรพิทักษ์ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงปทุมวัน ที่ 6/2563 ลงวันที่ 23 มกราคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”

พฤติการณ์ของ 2 ผู้ต้อหาได้ไปหลอก น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกคาง, มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4.กองบังคับการปราบปรามว่า ถูก นายสำรองฯ และน.ส.วิไลลักษณ์ฯ ผู้ต้องหาดังกล่าวหลอกลวงให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนายสำรองฯ และบัญชีเงินฝาก ของ น.ส.วิไลลักษณ์ฯ ผ่านทางเฟชบุ๊ก สูญเงินกว่า 419,490 บาท โดยถูกหลอกผ่านการโทรศัพท์และแชทข้อความทางเฟสบุ๊ค แอบอ้างเป็นแอดมินเพจจิตอาสาเพื่อเด็กและสังคม

โดยประมาณเดือนกรกฎาคม 2562 ได้มีผู้ใจบุญบริจาคเงินช่วยเหลือ น.ส.เอ (นามสมมุติ) และลูกสาว ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งคู่ ผ่านทางเพจจิตอาสาเพื่อเด็กและสัมคม และได้รับเงินบริจาคช่วยเหลือจากผู้ใจบุญหลายแสนบาท ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเห็นช่องทางในการหาเงินจึงได้ใช้วิธีการแอบอ้างเป็นแอดมินเพจจิตอาสาเพื่อเด็กและสังคมโทรศัพท์หลอก น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหายให้ช่วยบริจาคเงินเพื่อไถ่ชีวิตโค กระบือ และบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่จังหวัดขอนแก่น น.ส.เอ (นามสมมุติ) หลงเชื่อคิดว่าเป็นแอดมินเพจจิตอาสาเพื่อเด็กและสังคม จึงได้โอนเงินจำนวน 419,490 บาท ไปยังบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาทั้งสอง จากนั้น น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย ได้ติดต่อไปยังแอดมินเพจจิตอาสาเพื่อเด็กและสังคมว่าได้โอนเงินบริจาคไปแล้ว แต่ทางแอดมินเพจดังกล่าวแจ้งว่าไม่ได้มีการรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่จังหวัดขอนแก่น และไม่ได้รับบริจาคเงินเพื่อไถ่โคกระบือแต่อย่างใด ซึ่งแอดมินเพจดังกล่าวจึงบอกกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย ว่าถูกมิจฉาชีพหลอก จากนั้น น.ส.เอ (นามสมมุติ) จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4.กองปราบปรามได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว จึงได้สืบสวนหาข่าวเพื่อจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้มาลงโทษตามกฎหมาย จนทราบว่านายสำรองฯ และน.ส.วิไลลักษณ์ฯ ผู้ต้องหา เป็นสามีภรรยากัน พักอาศัยอยู่ที่อาพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งย่าน ตำบลตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี จึงได้วางกำลังเฝ้าสังเกตุการณ์ จนกระทั่งวันที่ 7 มีนาคม 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองราย นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภายหลังจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้สอบถามขยายผลเกี่ยวกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิด จึงทราบว่า น.ส.วิไลลักษณ์ฯ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาแล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2561 ซึ่งครั้งนั้น น.ส.วิไลลักษณ์ฯ ได้หลอกลวงผู้เสียหาย โดยแอบอ้างเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง และแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณา หลวงลวงผู้ทุกข์ยากให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของตน มีผู้เสียหายสูญเงินไปนับแสนบาทเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ทุกข์ยาก และในการจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้สอบถาม นายสำรองฯ และน.ส.วิไลลักษณ์ฯ ถึงมูลเหตุในการกระทำความผิดในครั้งนี้ ซึ่งนายสำรองฯ และน.ส.วิไลลักษณ์ฯ รับว่าตนเป็นหนี้เงินกู้นอกระบบ ไม่มีเงินมาชำระหนี้และต้องการนำเงินมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้นอกระบบ จึงต้องใช้วิธีการเดิมในการหลอกลวงผู้เสียหายซึ่งผู้ทุกข์ยาก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่ายและได้เงินทันที และเมื่อได้เงินจำนวนดังกล่าวแล้ว ก็จะนำเงินไปใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้นอกระบบต่อไป

น.ส.เอ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นผู้เสียหายในครั้งนี้ ก็ได้ฝากเตือนประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ว่าอย่าหลงเชื่อพวกมิจฉาชีพทางเฟสบุ๊ค ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่จะโอนเงินให้กับใครหรือหน่วยงานใด จะได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพเหมือนกับตนอีก