กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาท
ในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.30-30.60 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.38 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 1.6 พันล้านบาท และ 2.2 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วนเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตลาดมีความหวังมากขึ้นเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และคาดว่า Brexit อาจได้ข้อสรุปเพื่อเปิดทางให้สหราชอาณาจักรถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) อย่างราบรื่น
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะให้ความสนใจข้อมูลยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ กระแสข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน Brexit รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในตุรกีและซีเรีย ทั้งนี้ เราประเมินว่านักลงทุนจะยังคงรอรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้นหลังจีนระบุว่าต้องการจัดการเจรจาอีกรอบภายในสิ้นเดือนนี้ก่อนที่จะลงนามในข้อตกลงการค้า ขณะที่การประชุมสุดยอดระหว่างอียูกับสหราชอาณาจักรในวันที่ 17-18 ต.ค. จะเพิ่มความผันผวนให้กับค่าเงินปอนด์ต่อไป
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันว่า เศรษฐกิจไม่ได้เกิดภาวะถดถอยหรือวิกฤติ แต่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ขณะที่ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่เหลืออยู่จะนำมาใช้หากจำเป็นและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถจะลดลงต่ำกว่าระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ได้ อย่างไรก็ดี ทางการกล่าวว่าดอกเบี้ยของไทยถือว่าต่ำมากในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ส่วนประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท ธปท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งเตรียมออกมาตรการชุดใหม่เพื่อดูแลการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งจะครอบคลุมถึงการสร้างสมดุลระหว่างเงินไหลเข้าออก การผ่อนคลายให้ผู้ส่งออกไม่ต้องเร่งนำเงินรายได้เข้ามาในประเทศ การดูแลกระแสเงินที่เกิดจากการซื้อขายทองคำไม่ให้กระทบค่าเงิน มาตรการปรับโครงสร้างการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดผ่านการประสานกับรัฐบาลเพื่อให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่เป็นไปตามแผนซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำเข้าและลดการเกินดุล ในภาวะเช่นนี้ เรามองว่านักลงทุนจะใช้ความระมัดระวังมากขึ้นโดยทิศทางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงมีความไม่แน่นอนสูง