พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า ผบก.น.8 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภัสพงษ์ บุตรไทย ผกก.สน.สำเหร่ พ.ต.ท.สายชล ปัญจชัย รอง ผกก.สส.สน.สำเหร่ และ พ.ต.ท.โด่งดัง โกกะพันธ์ สว.สส.สน.สำเหร่ ร่วมกันสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป.จับกุมตัว น.ส.ญุชนาถ หรือ “อุ๋ม” พุ่มหิรัญ อายุ 32 ปี ตามหมายจับศาลแขวงธนบุรีเลขที่ 64/61 ลงวันที่ 7 ก.พ.61 ข้อหาลักทรัพย์ พร้อมของกลางสร้อยข้อมือเพชร จำนวน 2 เส้น รวมมูลค่า 500,000 บาท โดยจับกุมตัวได้ที่ตลาดนัดนิคมลาดกระบัง แขวงลำประทิว เขตลาดกระบัง กทม.

พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.ญุชนาถ ผู้ต้องหา ได้แปลงโฉมตนเองด้วยการสวมใส่วิกผม และแว่นสายตา เข้าไปในพื้นที่ศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์พลาซ่า ถนนเจริญนคร ฝั่งตรงข้าม สน.สำเหร่ ก่อนจะเดินไปที่ร้านจำหน่ายเครื่องเพชรชื่อวีนา ทำทีตีสนิทและแอบอ้างตัวกับ นายจิรวัฒน์ ฉายสุนทรสิริ อายุ 38 ปี เจ้าของร้านเพชร ว่า ตัวเองเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องครัวอยู่ในศูนย์การค้าเดียวกัน ขอดูสร้อยข้อมือเพชรไปให้มารดา ที่นั่งรออยู่ในร้านจำหน่ายเครื่องครัว จำนวน 2 เส้น พอเจ้าของร้านเพชร หลงเชื่อมอบสร้อยข้อมือให้ไป น.ส.ญุชนาถ จึงฉวยโอกาสหลบหนีออกจากศูนย์การค้าขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ด้าน พ.ต.อ.ภัสพงษ์ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวน สน.สำเหร่ ได้ร่วมกันแกะรอยผู้ต้องหาจากลายนิ้วมือแฝง และวงจรปิด พบว่า น.ส.ญุชนาถ ผู้ต้องหารายนี้ มีหมายจับคดีลักทรัพย์ตามร้านเครื่องเพชร ในลักษณะเดียวกันติดตัวอยู่ถึง 13 คดี ในท้องที่ สน.ห้วยขวาง สน.บางโพงพาง สน.บางพลัด สน.ประเวศ สน.หัวหมาก สน.ปทุมวัน สน.บางยี่ขัน และ สภ.เมืองสมุทรปราการ โดยตระเวนก่อเหตุตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน สร้างมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่สำคัญยังพบเบาะแสว่า น.ส.ญุชนาถ เป็นบุคคลตามหมายจับที่กองปราบปรามตามตัวอยู่เช่นกัน จึงประสาน พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. และ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. เพื่อสนธิกำลังกันตามจับกุม น.ส.ญุชนาถ ได้ที่ตลาดนิคมลาดกระบัง ก่อนนำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพและดำเนินคดีที่ สน.สำเหร

จากการสอบสวน น.ส.ญุชนาถ ยอมรับสารภาพว่า ปัจจุบันเป็นแม่ค้าขายซูชิ อยู่ที่ตลาดนิคมลาดกระบัง ก่อนหน้านี้เคยแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว โดยช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่กับสามี ได้ร่วมกันกู้เงินสดจากแหล่งเงินทุนหลายที่มาจำนวนนับล้านบาท เพื่อเปิดร้านอาหาร ต่อมาแยกทางกันกับสามี ร้านอาหารต้องปิดไป เหลือแต่หนี้นอกระบบกว่า 6 แสนบาทที่ต้องรับผิดชอบและตนก็ถูกนายทุนข่มขู่ทำร้ายร่างกายสารพัด จะแจ้งความกับตำรวจก็ไม่กล้าเพราะรู้ตัวว่าตัวเองมีหมายจับ จึงต้องวางแผนซื้อวิกผมหลายๆ แบบมาสวม และใส่แว่นตาปลอมตัวไปทำทีขอดูเครื่องเพชรตามร้านในห้างสรรพสินค้าต่างๆ เมื่อสบโอกาสก็เชิดเอามาขายตามร้านรับซื้อเครื่องประดับมือสองได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด เพื่อนำไปใช้หนี้ จนขณะนี้ยอดเงินติดหนี้นอกระบบเหลือแค่เพียง 1 แสนบาทเท่านั้น

น.ส.ญุชนาถ ยอมรับด้วยว่า คดีล่าสุดที่ตนก่อเหตุในศูนย์การค้าริเวอร์ไซด์พลาซ่า ท้องที่ สน.สำเหร่ นั้น ตนวางแผนใส่วิกผมและแว่นตาเรียกรถแท็กซี่จากบ้านย่านมีนบุรี มาลงหน้าห้างจากนั้นเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องครัวบริเวณชั้น 1 ที่อยู่เยื้องๆ กันกับร้านเพชร เพื่อชวนพนักงานขายเครื่องครัวพูดคุย จากนั้นจึงเดินไปที่ร้านขายเพชร เพื่อแอบอ้างตัว และหลอกเอาสร้อยข้อมือ จำนวน 2 เส้น หลบหนีออกมา จากนั้นตนก็นำสร้อยเพชรทั้ง 2 เส้น ไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่งย่านเยาวราช ได้เงินมาประมาณ 150,000 บาท ก็เอาไปใช้หนี้นอกระบบก่อนถูกตำรวจติดตามไปจับกุมได้ที่แผงขายซูชิ ในตลาดนิคมลาดกระบัง

ขณะที่ พ.ต.ท.สายชล กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีน่าสนใจ เนื่องจากผู้ต้องหาวางแผนก่อเหตุเพียงลำพัง ประกอบกับทุกครั้งที่ลงมือ ก็จะลงทุนแปลงโฉมตนเองเพื่อให้ยากแก่การติดตามเบาะแส ที่สำคัญจะเลือกก่อเหตุลักทรัพย์เฉพาะเครื่องเพชร ที่มีมูลค่ามากเมื่อนำไปเสนอขายต่อตามร้านในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ก็จะสามารถขายได้เงินก้อนมาแน่ๆ เบื้องต้นแจ้งข้อหาลักทรัพย์ แก่ น.ส.ญุชนาถ ก่อนประสานพนักงานสอบสวนท้องที่อื่นๆ ซึ่ง น.ส.ญุชนาถ เคยตระเวนไปก่อเหตุมาอายัดไปดำเนินคดีต่อไป

 

Thai Police