ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับพวกร่วมทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสียหายเป็นเงิน 1,728 ล้านบาท
จากกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง จากเดิมจัดจ้างแบบรวมการที่ส่วนกลาง โดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) จำนวนหลายสัญญา เป็นรวมการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลางในครั้งเดียวและเป็นสัญญาเดียว โดยไม่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างเสียก่อน โดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องกล่าวหาดังกล่าว โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการไต่สวน จากการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เป็นให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน ซึ่งในขณะนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาเห็นชอบและอนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2552 และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งกรณีดังกล่าวสำนักงบประมาณเห็นด้วยกับแนวทางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการก่อสร้างตามความจำเป็นเร่งด่วน และตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปีงบประมาณ (2552-2554) จากนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดจ้างและการก่อสร้างอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพลตำรวจโท พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น เป็นประธานคณะทำงาน ซึ่งได้ข้อสรุปว่า เห็นควรดำเนินการจัดจ้างโดยส่วนกลาง และแยกเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เสนอแนวทางการจัดจ้างดังกล่าวต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาแล้วเห็นชอบและให้ดำเนินการตามที่เสนอ
ปรากฏว่าต่อมาพลตำรวจเอกปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้างจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปตามตำรวจภูธรภาค หรือตำรวจภูธรจังหวัด เปลี่ยนเป็นกองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง เป็นหน่วยงานจัดจ้างก่อสร้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว โดยอ้างว่าเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วได้อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้าง โดยไม่นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงเสียก่อน จึงเป็นการอนุมัติโดยไม่มีอำนาจ และโดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่ตนอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ ผลปรากฏว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยเสนอราคาต่ำที่สุด เป็นเงิน 5,848,000,000 บาท และได้จัดทำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (BOQ) ส่งให้คณะกรรมการประกวดราคาภายใน 3 วัน ตามที่กำหนดไว้ในประกาศประกวดราคา โดยในส่วนของเสาเข็มตอกขนาดความยาว 21 เมตรนั้น บริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ระบุราคา จำนวน 2,520 บาทต่อต้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตามท้องตลาด โดยตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ ราคาต้นละ 8,151.15 บาท และต่ำกว่าราคากลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำหนดไว้ต้นละ 6,360 บาท ซึ่งการระบุราคาเสาเข็มตอกให้ต่ำกว่าราคา ตามท้องตลาดและราคากลางดังกล่าว โดยมีเจตนาจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหักลดค่าเสาเข็มที่ตอกไม่ครบถ้วนตามแบบได้น้อยหรือต่ำกว่าราคาที่แท้จริงและตนได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว จึงเป็นการเอาเปรียบผู้เสนอราคารายอื่น ทำให้ไม่มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
เมื่อพลตำรวจตรี สัจจะ คชหิรัญ ประธานกรรมการประกวดราคา ได้รับบัญชีปริมาณวัสดุและราคา (BOQ) ดังกล่าวไว้แล้ว กลับละเว้น ไม่แจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคารายอื่นทราบ แต่ให้พันตำรวจโทสุริยา แจ้งสุวรรณ์ กรรมการและเลขานุการ นำไปใช้ประกอบในการทำสัญญาจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ตามสัญญาจ้าง จนเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหายหักลดค่าเสาเข็มที่ตอกไม่ครบถ้วนตามแบบรูปรายการได้เงินน้อยกว่าราคาที่แท้จริง เป็นเงินจำนวน 33,360,778 บาท และต่อมาก็ปรากฏว่าการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างไปอีกจำนวนหลายครั้ง แต่ผู้รับจ้างก็ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาจ้าง จนสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้บริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน จำนวน 1,728,629,606 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละรายแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง ว่าการกระทำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และการกระทำของพลตำรวจเอกปทีป ตันประเสริฐ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6) การกระทำของพลตำรวจตรีสัจจะ คชหิรัญ และพันตำรวจโทสุริยา แจ้งสุวรรณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2552 มาตรา 10 และมาตรา 12 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6) การกระทำของพันตำรวจเอกจิรวุฒิ จันทร์เพ็ญ พันตำรวจเอกสุทธี โสตถิทัต พันตำรวจเอกพิชัย พิมลสินธุ์ พันตำรวจเอกณัฐเดช พงศ์วรินทร์ และพันตำรวจเอกณัฐชัย บุญทวี มีมูลความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 78 (1) (2) และ (9) บริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด โดยนายวิษณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท และนายวิษณุ วิเศษสิงห์ ในฐานะส่วนตัว มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว สำหรับผู้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว พลตำรวจโทธีรยุทธ กิติวัฒน์ และพลตำรวจโทสุพร พันธุ์เสือ ไม่มีมูลความผิด ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงให้ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลแล้วแต่กรณีต่อไป