หน้าแรกเศรษฐกิจ-การเงินสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เร่งดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน

สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เร่งดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยผู้กรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2562 ต่อเนื่องไปยังปี 2563 โดยปรับทั้งมุมมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) และมุมมองนโยบายการเงิน เดิมเมื่อเดือนธันวาคมปี 61 สำนักวิจัยฯ มองจีดีพีปี 62 ขยายตัว 3.7% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สำนักวิจัยคาดการณ์ไส้ค่อนข้างต่ำ วันนี้ได้ปรับมุมมองมาอยู่ที่ 3.3% สำหรับปี 62 และ 3.2% สำหรับปี 63 สะท้อนถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลง

ปัจจัยเชิงบวกสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ น่าจะต้องหวังพึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาลใหม่ซึ่งน่าจะฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พร้อมตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จภายในเดือน ก.ค นี้ สำนักวิจัยฯ มองว่ารัฐบาลใหม่สามารถออกนโยบายมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 นโยบายหลักๆ คือ

1).นโยบายดูแลสินค้าภาคเกษตรและกำลังซื้อภาคเกษตร ดูแลรายได้ของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้ ดูแลราคาสินค้า ดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตและเข้าถึงระดับของคนยากจนได้ หากทำได้ก็จะเป็นแรงผลักดันในการกระจายรายได้เข้าไปสู่ในภาคต่างจังหวัด
2).นโยบายค่าครองชีพ รัฐบาลชุดใหม่น่าจะสานต่อจากรัฐบาลชุดก่อน
คือการใช้มาตรการผ่านบัตรสวัสดิการภาครัฐ โดยการโอนเงินของภาครัฐเข้าสู่ผู้คนจน น่าจะประคองกำลังซื้อของคนระดับล่างหรือผู้มีรายได้น้อย
เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะสานต่อและดูแลค่าครองชีพไม่ให้ขยับขึ้นมากนัก
3).การลงทุนภาครัฐ ปัจจุบันยังล่าช้า ถ้ารัฐบาลสามารถเดินหน้าการลงทุนได้อย่างเร่งด่วนก็จะดึงความเชื่อมั่นของเอกชนให้เข้ามาลงทุนก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้
โดยรวมแล้วเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน คือ
การดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาให้ได้เร็วที่สุด เพราะเรากำลังจะมีการเจรจาการค้า FTA กับต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งตรงนี้จะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ

ส่วนมุมมองของนโยบายการเงิน สำนักวิจัยฯ ได้ปรับมุมมองนโยบายการเงินอย่างชัดเจน จากสงครามการค้าที่จะนำมาสู่สงครามค่าเงิน และกลายเป็นประเด็นที่สำคัญที่ต้องติดตามว่าจะเห็นการปรับลดของดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เดิมมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปีไว้ที่ 1.75% แต่เมื่อ กนง. ส่งสัญญาณเป็นหว่งเรื่องของทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากสงครามการค้า จนมากระทบการส่งออกของไทยโดยคาดว่าการส่งออกครึ่งแรกของปีจะหดตัว 3% ส่วนครึ่งหลังจะหดตัวเพียงเล็กน้อย และเฉลี่ยทั้งปีคาดปีคาดว่าส่งออกจะหดตัวราว 1% กว่า หากการส่งออกลำบากก็จะกระทบการลงทุน เอกชนก็จะลังเลที่จะขยายกำลังการผลิต ทำให้ กนง. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ เราจึงมองว่า สุดท้ายแล้ว ธปท. ตะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงิน กระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค โดยสำนักวิจัยฯ คาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งภายใน 12 เดือนนี้ จาก 1.75% จะเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปีนี้ และจะลดอีกครั้งหนึ่งสู่ระดับ 1.25% ภายในปีหน้า รวมปรับลด 0.5% ซึ่งอาจจะปรับลดในการประชุมติดกัน หรืออาจจะไม่ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สุดท้ายเรื่องค่าเงินบาท ที่แข็งค่าวันนี้กำลังมาจากสงครามการค้าที่ลามมาสู่สงครามค่าเงิน หลายประเทศในภูมิภาคธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพื่อพยายามทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า ดังนั้น ธปท.จะทำอย่างไรในบริบทที่ค่าเงินบาทนั้นแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค เราจะป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรงจนกระทบการส่งออกและทำให้เศรษฐกิจชะลอแค่ไหน สำนักวิจัยฯคาดเงินบาทจะแข็งค่าได้อีกเล็กน้อยที่ระดับ 30.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีนี้ ก่อนที่จะมีโอกาสอ่อนค่าไปแตะที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญคือความชัดเจนในการหยุดลดดอกเบี้ยของสหรัฐในปีหน้า ขณะที่ดอกเบี้ยไทยได้ปรับลดลงตามดอกเบี้ยในตลาดโลกในที่สุด


 

RELATED ARTICLES

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img