ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดี กรณี 27 ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ถูกร้องถือครองหุ้น และเป็นเจ้าของกิจการสื่อ แถลงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง 32 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ถือครองหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการสื่อว่า จากนี้จะให้ ส.ส. 21 คน ของพรรค พปชร. ทำการรวบรวมเอกสาร โดยเฉพาะในส่วนของงบดุลของบริษัทเพื่อมาพิจารณา เพราะเห็นได้แล้วว่า ศาลรับฟังข้อเท็จจริง ทั้งจากรับคำร้อง 21 คนและไม่รับคำร้องจำนวน 6 คน ของพรรค พปชร. ทำให้เห็นสิ่งที่เราจะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ให้ศาลเห็นได้มากที่สุดว่า ในส่วนของ ส.ส.ของพรรค พปชร. ไม่มีการประกอบกิจการตามมาตรา 98 (3) จากนั้นต้องทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเชื่อว่า ส.ส. ทั้ง 21 คนของพรรค พปชร.ไม่ได้ถือครองหุ้นสื่อ
“คงต้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญนำคำพิพากษาของศาลฎีกา 2 คดี ก่อนหน้านี้ มาเปรียบเทียบว่า คดีดังกล่าวกับคดีของเราเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และขอคัดสำนวนของศาลฎีกาที่ส่งมาศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างว่า ทั้ง 2 คดีไม่เหมือนของทั้ง 21 คน ที่ศาลรับคำร้อง อย่างไรก็ดี ต้องกราบขอบคุณศาลที่ให้โอกาส ส.ส.ของพรรค พปชร.และฝ่ายรัฐบาลได้ทำหน้าที่ต่อ ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ถือว่า ได้ให้โอกาสที่ให้เรายื่นหลักฐาน” นายทศพล กล่าว
นายทศพล กล่าวว่า ส่วนของพรรค พปชร. ที่จะยื่นฟ้อง ส.ส. 7 พรรคการเมืองฝ่ายค้านนั้น จากผลของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ทางทีมทนายต้องมาปรับกลยุทธ์ เพราะจากศาลที่มีคำสั่งไม่รับพิจารณาบางราย เราจึงต้องตัด ส.ส.ที่เข้าข่ายเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องออก ทำให้การตรวจสอบจากเดิม 55 คน เหลือ 32 คนที่เข้าข่าย เพราะบางคนพบว่า ประกอบธุรกิจสื่อมวลชนจริง โดยในจำนวนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นของพรรคเพื่อไทย รวมถึงบางคนเป็นหัวหน้าพรรค จึงเป็นเหตุผลที่ตนไม่บอกก่อนหน้านี้ว่าเป็นใครบ้าง เพื่อต้องการให้การทำงานรอบคอบ ให้ศาลพิจารณาง่ายขึ้น ซึ่งจะใช้วิธีการเดียวกันคือ ยื่นผ่านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่จะไม่ยื่นคำร้องขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยจะนำรายชื่อทั้ง 32 คน รายงานต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคก่อนไปยื่นประธานสภาฯ คาดว่า จะยื่นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้ หรืออย่างช้าต้นสัปดาห์หน้า