ธนาคารกรุงไทยเตรียมขายตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 2 เสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในวงเงินไม่เกิน 24,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน เสนอขายให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ เปิดจองซื้อ 8 – 11 กรกฎาคมนี้ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมออกตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 2 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2562 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 อายุ 10 ปี วงเงินไม่เกิน 24,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3.70% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยธนาคารมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดได้หลังจาก 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสาร หรือตามที่เงื่อนไขกำหนด เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยผู้ลงทุนสถาบัน จองซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านบาท และเพิ่มทวีคูณครั้งละ 1 หมื่นบาท ส่วนผู้ลงทุนรายใหญ่จองซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านบาท และเพิ่มทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท เปิดจองซื้อผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 8 – 11 กรกฎาคม 2562
การออกตราสารเงินกองทุนในครั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุน รวมถึงบริหารสภาพคล่องและใช้ในการดำเนินงานทั่วไป ตลอดจนรองรับการขยายตัวของธุรกิจ โดยตราสารเงินกองทุนชุดนี้ จะนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 2 นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการเสนอขายตราสารด้อยสิทธิเพื่อนับเป็นเงินกองทุนประเภทที่ 2 เมื่อปี 2560
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ฐานะการเงินของธนาคารมีความแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงาน 3 เดือนแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 7,301 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR Ratio) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 อยู่ที่ 18.41% สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด นอกจากนี้ ธนาคารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ AA+(tha) แนวโน้มมีเสถียรภาพ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2562 และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ที่ระดับ AA(tha) แนวโน้มมีเสถียรภาพ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดและขอรับหนังสือ ชี้ชวนได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป หรือดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ www.sec.or.th