นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยในรายการ ต้องถาม ทางสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ ต่อกรณีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำ กปปส. ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นกบฏ ก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจรว่า จำนวนคนที่อยู่ในกระบวนการตรงนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งหมดนี้ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ตั้งแต่ในยุคของรัฐบาลที่แล้ว ตั้งเรื่อง ตั้งข้อหา แล้วที่ล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็เพราะว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ไปที่อัยการให้ทบทวนเรื่องนี้ ซึ่งวันนี้อัยการสูงสุดก็ได้พิจารณาแล้ว แล้วก็ตัดสินใจว่าจะส่งฟ้อง หรือไม่ส่งฟ้องใครบ้าง
นายอภิสิทธิ์ตั้งข้อสังเกตว่า หลายคนที่อยู่ในรายชื่อนี้ มีความหลากหลายจริงๆ บทบาทของแต่ละคนนั้นไม่ได้เหมือนกันเลย บางคนเป็นแกนนำในการชุมนุม ซึ่งเขาได้ประกาศชัดว่าเขามีบทบาทอะไร และพร้อมที่จะรับผิดชอบกับการกระทำของเขา ไม่หลบหนีไปไหน หลายๆ คนที่ขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งก็มีหลายเวที ซึ่งสิ่งที่ปราศรัยก็ไม่เหมือนกัน หลายคนก็บอกว่าเพียงแต่ไปเล่าข้อเท็จจริง แต่บางคนตนเข้าใจว่าไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัย แต่กลับโดนข้อหาไปด้วย
“ผมก็ยังมองว่าการดำเนินคดีโดยรวมแบบนี้ มันค่อนข้างแปลก เพราะว่า ประการ 1 ก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มันจะมีหลายช่วง แล้วบางช่วงอย่างเช่น กรณีการชุมนุมที่ราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เคยมีการร้องไปที่ศาล แล้วศาลก็ชี้ว่าเป็นการชุมนุมโดยชอบ ใช้สิทธิกันตามรัฐธรรมนูญ แต่ขณะเดียวกันกรณีที่มีการไป อาจจะบุกรุกสถานที่ราชการ อาจจะไปขัดขวางการเลือกตั้ง อาจจะไปทำอะไรซึ่งถูก มีผู้ร้องว่าถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอะไรก็ว่าไป มันเป็นเรื่องพฤติกรรมของแต่ละเหตุการณ์ แต่ละกลุ่ม แต่ละคน แต่จะมาดำเนินคดีแบบรวมกันหมดอย่างนี้ ผมว่ามันก็แปลกอยู่”
“ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ไปตรงนั้น ก็ไปด้วยเจตนาที่จะรักษาความถูกต้องในบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือปรารถนาที่จะเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ไป ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้ความรุนแรง ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ ประทุษร้าย ที่จะเป็นที่เรียกว่ากบฏบ้าง หรือเป็นผู้ที่ปลุกปั่น ก่อความวุ่นวาย”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ควรต้องไปไล่ดูพฤติกรรมของแต่ละบุคคล แล้วก็ว่าตามข้อเท็จจริงของการกระทำของบุคคลนั้นๆ มากกว่า เพราะว่าสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญก็ดี การจะชุมนุมใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญเพื่อประท้วง หรืออะไรก็ดี มันก็มีขอบเขต
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการที่มีคนออกมาประท้วงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนรู้สึกหนักใจ เพราะว่า ตอนนี้ตัวกฎหมายถูกสำทับลงไปด้วยคำสั่ง คสช. ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ แต่อย่าลืมว่า เวลาที่มีการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ สถานการณ์ปกติก็เรื่องหนึ่ง เสร็จแล้วเมื่อมีการประกาศเขตพื้นที่ความมั่นคง ก็จะเริ่มมีการจำกัดสิทธิ์ แต่การประกาศนั้นก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายในการประกาศ
เช่นเดียวกัน พอถึงจุดหนึ่งก็อาจจะมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน สิทธิ มันก็จะถูกจำกัดลงไปอีก ถ้าประกาศกฎอัยการศึก ก็ยิ่งถูกจำกัดสิทธิ์ลงไปอีก แต่การประกาศกฎอัยการศึกก็ดี การประกาศภาวะฉุกเฉินก็ดี หรืออะไรก็ดี มันก็มีหลักเกณฑ์อยู่ แต่ว่าสถานการณ์วันนี้มันกลายเป็นเรื่องของคำสั่ง คสช. ซึ่งก็บอกว่า โต้แย้งก็ไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็เป็นการจำกัดสิทธิ์ที่คนพึงมีตามรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดปัญหาและปัจจุบันก็มีกฎหมายชุมนุมสาธารณะออกมาอีกซึ่งก็ต้องปฏิบัติตาม
“การเอาคำสั่งแบบนี้ อำนาจพิเศษแบบนี้มากดทับอยู่เป็นเวลานาน มันไม่มีที่ไหนทำได้หรอก ถึงจุดนึงมันจะกลายเป็นเงื่อนไขเปล่าๆ ให้เกิดความขัดแย้ง แล้วก็การที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยได้อย่างยั่งยืน ในที่สุดมันต้องขจัดไม่ให้มีเงื่อนไขของการที่จะเกิดเหตุการณ์ลุกลามขึ้น
และผมก็เคยพูดมาตลอดเวลาว่า มันจะต้องค่อยๆ เสนอว่าเราจะผ่อนคลายกฎหมายพิเศษทั้งหลาย คำสั่งพิเศษทั้งหลายนี้ไปอย่างไร เพราะวันหนึ่งเราต้องคืนสู่ภาวะที่มันไม่มีอำนาจพิเศษเหล่านี้ มันไม่สามารถกระโดดจากการมีคำสั่งทุกอย่างแล้วก็ยกเลิกแล้วก็ปกติ มันทำไม่ได้หรอก มันก็ต้องค่อยๆ ผ่อนคลาย แล้วมันก็จะเป็นตัวทดสอบว่า เมื่อผ่อนคลายแล้ว ตกลงการใช้สิทธิ์ซึ่งถ้าหากว่าอยู่ในความสงบ ปราศจากอาวุธ ผมก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ มันก็จะได้ไม่เกิดปัญหา” นายอภิสิทธิิ์กล่าว