กรุงเทพฯ, วันที่ 22 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าดคีที่ “บอส” นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ของ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เป็นเหตุให้ดาบตำรวจวิเชียรเสียชีวิต ก่อนจะหลบหนีกลับเข้าไปในบ้านพักที่ซอยสุขุมวิท 55 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ซึ่งต่อมาอัยการสั่งฟ้อง “บอส” ในข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยหลักฐาที่ยื่นฟ้องต่อศาลระบุว่าขณะเกิดเหตุ “บอส” ขับรถด้วยความเร็ว 177 กม./ชั่วโมง ซึ่งฝ่ายทนายจำเลยได้นำผู้เชี่ยวชาญมาให้การด้วยการคำนวนความเร็วขณะเกิดเหตุอกีครั้ง พบว่าไม่น่าจะเกิน 80 กม./ชั่วโมง
สำหรับชุดตัวเลขความเร็ว 177 กม./ชม. มาจากการคำนวณของ พันตำรวจเอกธนสิทธิ์ แตงจั่น ซึ่งภายหลังเจ้าตัวยอมรับว่าไม่มั่นใจวิธีเดิม และต้องไปถามวิธีใหม่ก่อนจะออกผลเป็น 177 กม./ชม. ซึ่งตัวเลขนี้ถูกเผยแพร่มากที่สุด จนกลายเป็นสิ่งที่สังคมเชื่อว่าเป็นความจริงของคดี ขณะที่ชุดตัวเลขความเร็ว ไม่เกิน 80 กม./ชม. นั้น ผู้เชี่ยวชาญตำรวจ ศาล และนักวิชาการด้านอุบัติเหตุ 3 ราย เห็นตรงกันจากสภาพการชนว่า “รถไม่ได้เร็วเกิน 80 กม./ชม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพื่อแก้ความขัดแย้งของตัวเลขดังกล่าว ซึ่งเป็นสาระสำคัญของคดี จึงได้มีการเชิญ ศ.เฮอร์มัน สเตฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองอุบัติเหตุระดับสากล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี กราซ (Graz University of Technology) ประเทศออสเตรีย มาตรวจสอบเต็มรูปแบบ ทั้งคำนวณ จำลอง และชนจริง ผลออกมาราว 76 กม./ชม. ซึ่งตรงกับผู้เชี่ยวชาญทั้งสามรายแรกอย่างชัดเจน
ศาลจึงชี้ว่า ตัวเลขของ ศ.สเตฟาน มีความน่าเชื่อถือ และตัวเลข 177 กม./ชม. ของพันตำรวจเอกธนสิทธิ “รับฟังไม่ได้” โดยคำพิพากษาระบุว่า ตัวเลขความเร็วที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวมาจากรายงานของเจ้าหน้าที่เพียงหนึ่งคน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นทั้งหมดให้ผลสอดคล้องกันว่าไม่เกิน 80 กม./ชม.

ศาลยังชี้ว่า คำให้การของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนั้นต้องรับฟัง “อย่างระมัดระวัง” เพราะมีแรงกดดันจากสถานะที่ถูกกันไว้เป็นพยาน และไม่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากไม่เคยผ่านประสบการณ์การพิสูจน์คดีอุบัติเหตุด้านฟิสิกส์ความเร็วมาก่อนทำคดีนี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามตามมาว่า 177 กม./ชม. เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ในการคำนวณหรือไม่ หรือเป็นการใช้ช่องว่างของระบบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือมีแรงจูงใจอื่นที่ยังไม่ถูกเปิดเผยหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ ศ.สเตฟาน เคยระบุว่าไทยยังมีจุดอ่อนสำคัญในกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานสากลให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบซ้ำ และความเป็นอิสระของผู้เชี่ยวชาญ แต่ระบบไทยกลับพึ่งพาความเห็นของบุคคลมากกว่ากระบวนการ ส่งผลให้ผลการวิเคราะห์บางคดี มีความแตกต่างสูงถึงระดับที่ไม่สามารถยอมรับได้ในประเทศพัฒนาแล้ว

