วันที่ 11 ธ.ค. 2568 นายนิกร จำนง อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณากฎหมายประชามติ ในฐานะผู้อำนวยการพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า ตามที่ตนได้ให้ความเห็นไว้เมื่อวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ว่า ตนเป็นห่วงในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256/28 กรณีเสียงเห็นชอบที่ทางวุฒิสภาต้องการคง 1 ใน 3 ไว้นั้น หลังจากที่ตนได้พูดคุยกับแกนนำวุฒิสมาชิกบางส่วนจากการเคยทำกฎหมายร่วมกันมา ทราบว่าสมาชิกวุฒิสภาลึกๆก็มีความเป็นกังวลต่อสถานะของวุฒิสภาชุดนี้ เนื่องจากกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สามารถที่จะเขียนบทบัญญัติให้วุฒิสมาชิกชุดปัจจุบันสิ้นสภาพไปหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ได้เลย และจะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อวุฒิสมาชิกได้เช่นกัน ประกอบกับในร่างที่แก้ไขครั้งนี้ ก็ไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ยกร่างต้องเขียนให้มีบทเฉพาะกาลให้อายุของวุฒิสภาชุดนี้หมดลงเมื่อครบ 5 ปี
ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลสำคัญมากหนึ่งที่ต้องการความมั่นใจดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมีหลักประกันสุดท้ายคือต้องได้รับความเห็นชอบ 1ใน3 ตามรัฐธรรมนูญเดิมเอาไว้ในชั้นนี้ก่อน หลังจากนั้นแล้วก็สามารถที่จะแก้ไขให้เป็นเสียงเห็นชอบตามที่ควรเป็นในรัฐธรรมนูญถาวร โดยตนเห็นว่าควรมีเสียงเห็นชอบที่เป็นสากลเช่น 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรืออย่างหนึ่งอย่างใดที่ดีกว่าล็อคไว้ด้วยเสียง1ใน3ของวุฒิสภา หรือร้อยละ20 ของฝ่ายค้านที่ไม่เหมาะสม
นั่นคือเหตุผลที่อยู่เบื้องลึกแต่เป็นจริงในทางการเมืองเพราะในการพิจารณาวาระ 2 นี้ เสียงเห็นชอบของการพิจารณาตามข้อบังคับมติเห็นชอบของการพิจารณาใช้เสียงข้างมากโดยประมาณ ดังนั้นที่วุฒิที่สมาชิกได้สงวนคำแปลญัติไว้อย่างไรก็ไม่สามารถจะสู้เสียงของสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากเป็น 500 ต่อ 200 นั้นห่างกันอยู่มาก ในเมื่อไม่สามารถจะสู้ได้ในชั้นนี้ก็เป็นสภาพบังคับที่จะต้องให้วุฒิสมาชิกถอยไปสู้แลกชีวิตกันในด่านสุดท้าย นั่นคือการเห็นชอบในวาระ 3 ซึ่งอาวุธหนักนั้นก็คือการไม่ให้เสียงเห็นชอบ 1 ใน 3 ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ ดังนั้น จึงเชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่พยายามจะทำกันขึ้นมาอันเป็นความคาดหวังที่จะได้นำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในอนาคตปี 70 ก็จะสูญสลายไปด้วย
ตนจึงเห็นว่าอาจจะต้องใช้วิธีการทำความเข้าใจ ระหว่างกันและกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เห็นว่าน่าจะยอม ให้คง 1 ใน 3 ไว้ในชั้นนี้ จึงคาดหวังว่าน่าจะมีการใช้วิธีอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือการ เจรจายอมให้มี 1 ใน 3 ในมาตรา 28 เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมาตรา 256 นี้ และนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่สังคมอยากให้ระบบการเมืองดีขึ้น เพื่อประเทศชาติและประชาชนจะได้รับอานิสงส์ที่พึงประสงค์ ซึ่งสิ่งนี้คือความคาดหวังของตนเอง ที่ได้พยายามมาตลอดเวลาเกือบ20ปี

