นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการและโฆษกคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ทันข่าววุฒิสภา ถึงสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา หลังเกิดเหตุทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ฝั่งไทย ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย ว่า ตนขอแสดงความเสียใจต่อทหารผู้พลีชีพ และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปกป้องประเทศในครั้งนี้ พร้อมระบุว่า สถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียดในครั้งนี้ มีสัญญาณมาต่อเนื่องตั้งแต่หลังการลงนามสันติภาพที่มาเลเซีย แต่กัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
นายไชยยงค์ ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชามีการส่งกำลังรบเข้ามาใกล้แนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ทั้งทหารราบ โดรนสอดแนม รวมถึงการรื้อลวดหนามกั้นเขตแดนของไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุอย่างชัดเจน และแม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุปะทะในระหว่างลาดตระเวนของทั้งสองฝ่าย แต่มักคลี่คลายด้วยการพูดคุยเจรจาของหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ แต่สองเดือนหลังมานี้มีความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชามากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนชัดเจน ก่อนจะนำมาสู่เหตุปะทะครั้งใหญ่
นอกจากนี้ นายไชยยงค์ ยังกล่าวชื่นชมกองทัพไทยว่าสามารถตอบโต้การรุกรานได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีการพิทักษ์ส่วนหลังและอพยพประชาชนได้อย่างเป็นระบบ โดยประชาชนตามแนวชายแดนทั้ง 7 จังหวัด มีความพร้อมและเคยผ่านการอพยพบ่อยครั้ง จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถามว่าการที่โฆษกกระทรวงกลาโหม กัมพูชา กล่าวหาว่าไทยเปิดฉากยิงก่อน นายไชยยงค์ ระบุว่า มีข้อมูลว่ากัมพูชามีการเตรียมบทความข่าวเพื่อกล่าวหาไทยไว้ล่วงหน้า และจะเผยแพร่ไปยังทั่วโลกทันทีที่เสียงปืนดังไม่ว่าฝ่ายใดจะยิงก่อน โดยตนมองว่าเป็นยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสารเพื่อช่วงชิงความเร็ว สร้างความได้เปรียบ แต่ถึงแม้ไทยจะตอบโต้ช้ากว่า แต่ตอบด้วยข้อเท็จจริงและมีความน่าเชื่อถือ พร้อมชื่นชมกระทรวงการต่างประเทศที่สื่อสารกับองค์กรระหว่างประเทศได้มีประสิทธิภาพขึ้น
เมื่อถามว่ามองท่าทีการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ในการดำเนินการแก้ปัญหานี้อย่างไร นายไชยยงค์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับแนวทางนายกรัฐมนตรีที่ไม่เจรจากับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน หรือนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเพียงสักขีพยานในข้อตกลงสันติภาพ เพราะไทยเป็นฝ่ายถูกโจมตี หากต้องการสันติภาพคนกลางต้องไปคุยกับกัมพูชาไม่ใช่ไทย เนื่องจากไทยถูกยิงก่อน พร้อมสนับสนุนให้กองทัพไทยใช้แสนยานุภาพผลักดันกองกำลังกัมพูชาออกจากพื้นที่ และพร้อมโจมตีฐานที่มั่นลึก 25–30 กิโลเมตร หากจำเป็น เพื่อยุติสงครามโดยเร็วไม่ให้กระทบประชาชน
เมื่อถามว่าขณะนี้ได้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ รัฐบาลควรดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนอย่างไร นายไชยยงค์ กล่าวว่า ฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะ กอ.รมน. ผู้ว่าราชการจังหวัด และกำนันผู้ใหญ่บ้าน ต้องเร่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงทั้ง 7 จังหวัดที่ติดชายแดนกัมพูชา และให้ประชาชนที่ยังไม่อพยพเข้าหลุมหลบภัยทันที พร้อมย้ำว่าการอพยพครั้งนี้มีความเป็นระเบียบและเป็นไปตามแผนที่มีการเตรียมไว้
เมื่อถามถึงความเสี่ยงที่สถานการณ์จะขยายเป็นวงกว้างหรือยืดเยื้อ นายไชยยงค์ ระบุว่า ขึ้นอยู่กับกองทัพ หากไม่ต้องการให้สถานการณ์ยืดเยื้อ ไทยต้องเร่งยุติการสู้รบโดยเร็ว ด้วยการทำลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกัมพูชา ทั้งฐานยิงปืนใหญ่ เส้นทางลำเลียง รวมถึงเป้าหมายของกลุ่มทุนสีเทาและแก๊งสแกมเมอร์ที่เป็นกลไกหนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา
นายไชยยงค์ มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นสงครามลูกผสม ที่มีทั้งมิติการทหาร เศรษฐกิจ และข้อมูลข่าวสาร
เมื่อถามว่าในส่วนความมั่นคงของรัฐ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าควรมีการปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อย่างไร นายไชยยงค์ ระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ กำลังทหารและยุทธโธปกรณ์จะต้องมีความพร้อม เข้มแข็ง และใช้กำลังทหารยุติการสู้รบครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว อีกทั้งยุทธศาสตร์ทางการทูตไทยจะต้องเน้นทางการทูตในการติดต่อสื่อสารข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจทั้งประเทศมหาอำนาจ และสหประชาชาติ รวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ โดยเร็ว รวมถึงการทำลายพื้นที่มั่นของกัมพูชา
ทั้งนี้ นายไชยยงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้ติดตามสถานการณ์มากว่า 1 ปี พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบทุกมิติทั้งทางบกและทางทะเล รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาข้อดีและข้อเสียของการยกเลิก MOU 43–44 ที่ไทยเสียเปรียบบางส่วน เพื่อวางข้อเสนอให้รัฐบาลและกองทัพ ล่าสุดได้ประชุมสรุปสถานการณ์และวางแผนเตรียมลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์จริง พร้อมให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติต่อฝ่ายความมั่นคง
