การเสียชีวิตของ ณัฐวุฒิ ปงลังกา นักข่าวและผู้ประกาศข่าวช่อง 8 ภายในบ้านพักย่านบางกรวย เมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 สร้างความสะเทือนใจต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพและผู้ชมข่าวจำนวนมาก เพราะคืนก่อนหน้านั้นยังปรากฏภาพเขานั่งจัดรายการตามปกติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสูญเสียบุคลากรสื่ออีกหนึ่งราย แต่ยังเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้วงการสื่อไทยย้อนกลับมาตั้งคำถามถึง สวัสดิการ–สุขภาพ–วัฒนธรรมการทำงานหนัก ที่ถูกมองข้ามมายาวนาน โดยเฉพาะในยุคที่หนึ่งนักข่าวต้องทำงาน 3–5 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน ระหว่างการแข่งขันของสื่อดิจิทัลที่เข้มข้นขึ้นทุกปี
มุมมองจากนักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ อดีตสื่อมวลชนอาวุโสชี้ให้เห็นภาพรวมของวิกฤตคุณภาพชีวิต “แรงงานข่าว” ในประเทศไทยปัจจุบัน
แรงงานข่าวคือคน ไม่ใช่เครื่องจักรผลิตเรตติ้ง

“เทวฤทธิ์ มณีฉาย” สว.สายสื่อมวลชน ระบุว่า เป็นอีกครั้งที่วงการสื่อไทยต้องเผชิญความสูญเสีย การเสียชีวิตของณัฐวุฒิ ปงลังกา นักข่าววัยสามสิบกลางที่ทำงานจนถึงตีสองคืนก่อนหน้าแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกในเช้าวันถัดไป คือหนึ่งในหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าระบบแรงงานในอุตสาหกรรมสื่อไทยกำลังเดินหน้าผลิตข่าวด้วยความเร็วที่เกินกว่าร่างกายมนุษย์จะรองรับได้ ความสูญเสียครั้งนี้สะท้อนถึงโครงสร้างงานที่คาดหวังให้คนข่าวต้องพร้อมเสมอ ต้องทน ต้องไหว และต้องทำงานต่อไปแม้ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนมานานเพียงใดก็ตาม
แรงงานข่าวไม่ใช่เพียงนักเล่าเรื่องหรือผู้ส่งสาร แต่คือแรงงานที่ทำงานภายใต้เงื่อนไขเข้มงวดไม่ต่างจากภาคอุตสาหกรรมอื่น ทว่าแตกต่างตรงที่วงการสื่อไทยซ่อนความรุนแรงและการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของแรงงานข่าวไว้ภายใต้ภาระงานอันไม่มีที่สิ้นสุด คนข่าวถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าการไม่หลับไม่นอนคือความเก่ง การไม่มีเวลาให้ตัวเองคือความทุ่มเท และการยอมแลกสุขภาพคือราคาที่เลี่ยงไม่ได้ของอาชีพ ทั้งที่ในความเป็นจริงนั่นคือการขูดรีดแรงงานอย่างเต็มรูปแบบ
ผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทยปี 2567 ที่สำรวจโดยมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) จาก 372 ตัวอย่าง ตอกย้ำว่าวงการสื่อกำลังป่วยไข้อยู่อย่างหนักกว่าที่ใครยอมรับ กว่าครึ่งของแรงงานข่าวไทยทำงานเกินแปดชั่วโมงต่อวัน เกือบครึ่งไม่มีวันหยุดที่แน่นอน และบางคนไม่มีวันหยุดเลยตามสัปดาห์ แม้จะทำงานหนักกว่ามาตรฐานแรงงานทั่วไปแต่สวัสดิการกลับไม่ขยับตามความเสี่ยง ทั้งที่แรงงานข่าวจำนวนมากต้องอยู่ในสภาวะกะดึก ต่อกะแบบไม่มีช่วงฟื้นตัว จนนำไปสู่การสะสมความเครียดเรื้อรังในระดับ 69.9% และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังพุ่งเฉียด 80% นี่ไม่ใช่สถิติธรรมดาแต่เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของแรงงานข่าวจำนวนมากกำลังรับภาระหนักเกินมนุษย์จะทนได้
เทวฤทธิ์ ระบุว่า วัฒนธรรมการทำงานข่าวแบบ “โหมงานหนัก” ของแรงงานข่าวในปัจจุบัน คือสภาพการทำงานที่คนข่าวต้องวิ่งไล่เรตติ้ง ไล่เหตุการณ์สด ไล่ตาม “หมายข่าว” ที่ไม่มีวันหยุด จึงไม่ใช่เพียงปัญหาในห้องข่าวแต่กลายเป็นปัญหาในระดับ “แรงงาน” ที่ต้องถูกตั้งคำถามเหมือนทุกอุตสาหกรรมอื่น หากไม่ปฏิรูปตั้งแต่โครงสร้าง ระบบนี้จะยังเดินหน้าบีบคั้นและอาจพรากชีวิตของคนทำงานไปอีกโดยไม่ตั้งใจ
ท่ามกลางภาพใหญ่ของปัญหาแรงงานสื่อ มีความหวังบางประการจากร่าง พรบ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับพรรคประชาชน) ที่เพิ่งผ่านวาระแรกในชั้น สส. ซึ่งหากบังคับใช้เป็นกฎหมายจะเป็นการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแรงงานข่าว เพราะเป็นกลุ่มที่ชั่วโมงทำงานและวันหยุดไม่แน่นอนที่สุดในตลาดแรงงานไทย ข้อเสนอใหม่ที่กำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน จะทำลายวัฒนธรรม “ทำ 6 หยุด 1” ที่กัดกินสุขภาพแรงงานข่าวมานาน และเริ่มสร้างระบบ “ทำ 5 วัน หยุด 2 วัน” ให้เป็นมาตรฐานที่มนุษย์ควรได้รับ การหยุดเพียง 1 วันต่อสัปดาห์หรือการมีวันหยุดไม่แน่นอนนอกจากมีแนวโน้มจะไม่สัมพันธ์กับคนอื่นหรือเพื่อนฝูงแล้ว 1 วันที่ได้หยุดอาจไม่ทันได้พักผ่อน บางคนว่าแค่ซักผ้าเวลาก็หายไปเกือบครึ่งวันแล้ว “เวลา” สำคัญอย่างไร นอกจากการได้พักผ่อนเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูแล้วยังเป็นการให้เราได้มีเวลาหยุดฟังตัวเราสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเอง หากมีปัญหาอะไรก็ยังมีเวลาให้ได้ไปรักษาหรือสำรวจอย่างจริงจังได้แต่เนิ่น ๆ
การให้สิทธิลาพักร้อนขั้นต่ำ 10 วันต่อปีหลังทำงานเพียง 120 วันจะเป็นก้าวใหญ่ที่ช่วยให้แรงงานข่าวได้พักจริง ไม่ต้องรอครบปีในสภาพแวดล้อมที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้พักเลยตั้งแต่เริ่มงาน สิทธิการลาปวดประจำเดือน 3 วันต่อเดือนและสิทธิลาดูแลครอบครัว 15 วันต่อปีคือการยอมรับว่ามนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร มีร่างกายที่เจ็บปวด มีครอบครัวที่ต้องดูแล และมีชีวิตที่ต้องรักษา ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หากนำมาปรับใช้ในวงการสื่อจะช่วยลดภาวะหมดแรง ลดความเครียดสะสม และเพิ่มโอกาสให้แรงงานข่าวอยู่ในอาชีพนี้ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
เมื่อมองย้อนกลับไป การทำงานข่าวที่มีคุณภาพต้องอาศัยแรงงานข่าวที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ หากแรงงานข่าวทำงานในสภาพที่อ่อนล้า ข่าวย่อมผิดพลาด หากแรงงานข่าวไม่มีวันหยุด ความละเอียดของการรายงานย่อมลดลง และหากแรงงานข่าวไม่สามารถรักษาสุขภาวะของตัวเองได้ สังคมก็จะไม่ได้รับข่าวที่เชื่อถือได้อย่างที่ควรจะเป็น นี่คือความจริงที่สังคมต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณภาพของข่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากความกล้าหาญหรือความทุ่มเทเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการมีโครงสร้างแรงงานที่เคารพความเป็นมนุษย์ของคนทำข่าวด้วย
เทวฤทธิ์ ระบุว่า แรงงานข่าวจึงไม่ควรต้องแลกชีวิตกับเรตติ้ง ถูกขูดรีดมูล่าส่วนเกินบนความคาดหวังให้ทำงานในกะที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะหน้าที่ต่อสาธารณะของสื่อต้องเริ่มต้นจากการปกป้องผู้ผลิตข่าวก่อน เพื่อให้พวกเขามีพลังเพียงพอจะตรวจสอบและรายงานความจริงอย่างมีคุณภาพ เมื่อแรงงานข่าวถูกทำให้อ่อนแรง โครงสร้างประชาธิปไตยของประเทศก็อ่อนแรงตามไปด้วย
ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ควรจบลงที่คำไว้อาลัย แต่ต้องแปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักให้สำนักข่าวทุกแห่งและผู้กำหนดนโยบายทุกระดับยอมรับความจริงที่ว่าแรงงานข่าวก็คือคน ไม่ใช่เครื่องจักรผลิตเรตติ้ง และคนไม่ควรถูกใช้จนพังเพื่อทำงานใด ๆ เพราะไม่มีคุณค่าอันใดที่คู่ควรต่อการแลกด้วยการสูญเสียชีวิตของแรงงานในฐานะมนุษย์
อย่างไรก็ตามการทวงคืนเวลา สุขภาพ คุณภาพชีวิตที่สมดุลในฐานะมนุษย์เหล่านี้ ไม่อาจทำได้เพียงการร้องขอความเห็นใจจากสังคมหรือนายจ้างเท่านั้น เพราะการได้มาซึ่งวันหยุดแบบลอย ๆ ก็อาจหมายถึงรายได้ที่เสียไปก็ได้ ฝั่งนายจ้างเองก็พยายามขัดขวาง พรบ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่อย่างเต็มที่ในขณะนี้เช่นกัน ดังนั้นอำนาจในการต่อรองของแรงงานข่าวผ่านการรวมกลุ่มเป็นองค์กรสหภาพแรงงานหรือจะเรียกลักษณะการรวมกลุ่มนั้นว่าอะไรก็ตามจึงสำคัญอย่างยิ่งที่จะเจรจาต่อรองกับนายทุนสื่อหรือเจ้าของกิจการสื่อเพื่อให้แก้ไขสภาพการจ้างงานทั้งอุตสาหกรรมสื่อมวลชนที่เห็นความสำคัญของคุณภาพชีวิตของกรรมการข่าว
อาชีพที่เหนื่อยต้องทน จรรยาบรรณค้ำคอ

“นิพนธ์ ตั้งแสงประทีป” อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มองว่า อาชีพนักข่าวไทยวันนี้เป็นหนึ่งในอาชีพที่น่าสงสารที่สุด หากเปรียบเทียบภาระงานกับผลตอบแทนที่ได้รับจริง
นิพนธ์เล่าว่า งานข่าวเป็นงานที่ต้องแลกด้วยเวลาและสุขภาพอย่างแท้จริง นักข่าวจำนวนไม่น้อยต้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงค่ำมืดหรือเกือบค่อนคืน แม้ไม่ได้กะกลางคืนก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะได้พักผ่อนเพียงพอ การตามข่าวกระทันหัน การเกิดเหตุร้าย การออกต่างจังหวัด รวมถึงการทำงานในพื้นที่เสี่ยง เช่น ไฟไหม้ หรือพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ล้วนเป็นภารกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที แม้เงินเดือนจะไม่ได้สูงหรือมีความก้าวหน้าเด่นชัด แต่บรรดาคนข่าวก็ต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนตลอดเวลา
อาชีพนี้ถ้าอยู่ในสายข่าวสถานการณ์ เหตุการณ์ บอกได้คำเดียว “มีความเสี่ยงต่อชีวิต” เช่นน้ำท่วมไฟไหม้ อย่างสถานการณ์ชายแดนใต้ที่ตนเองอยู่มาทั้งปีตั้งแต่ปล้นปืน 47 จบที่ธันวาคมจะกลับบ้านที่ไหนได้ “สึนามิ”เข้าอันดามัน ถูกส่งไปอยู่พังงาอีก 4 เดือนถึงได้กลับบ้านแต่ถ้าเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง ก็จะเบาหน่อยไม่ซีเรียสมาก
“เรื่องเวลาอาชีพนักข่าวอย่าไปคิดว่า จะได้อยู่กับพ่อแม่ครอบครัวพี่น้องแบบทำงานประจำแปดโมงเช้าห้าโมงเย็น บางคนทำงานเข้ากะบางคนทำงานตามแหล่งข่าวที่ถูกมอบหมายให้ติดตาม ดึกบ้างเช้าบ้าง ถึงตรงนี้ก็แบบที่บอกนักข่าวทำไมทำงานหนักปางตายแต่ตายไม่ได้”
นิพนธ์ระบุว่า คนยึดอาชีพนี้ “ส่วนใหญ่” เป็นสถานะเดียวคือนักข่าว “จนแก่ตาย” ไม่มีเลื่อนชั้น คนข่าวเรียกว่าอยู่ในสนามข่าวจนตาย แต่จำนวนมากก็ภูมิใจเพราะนักข่าวคืออาชีพที่ทำเพื่อสังคมสาธารณะ
บางคนทำอาชีพนักข่าวมาสิบกว่าปี ดีใจได้เลื่อนชั้นเป็นนักข่าวอาวุโส รีไรท์เตอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ บรรณาธิการข่าว แต่เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดเดียว หลักร้อยหลักพัน นักข่าวบางคนเลื่อนชั้นไปเป็นผู้ประกาศข่าวก็สบายหน่อย เพราะผู้ประกาศเงินเดือนจะก้าวกระโดดสูงเป็นหลายเท่าของนักข่าว โดยเฉพาะยุคทีวีดิจิทัลผู้ประกาศข่าวแต่ละที่เงินเดือนสูงลิ่ว
บันไดขั้นต่อไปไปต่อหรือพอแค่นี้…?หลายคนทำอาชีพนักข่าวไม่นานหรือระยะหนึ่งก็ผันตัวไปเป็นนักพีอาร์ โชคดีก็ได้อยู่บริษัทใหญ่ เพราะบริษัทใหญ่คิดว่านักข่าวช่วยพีอาร์เขียนข่าวเป็น(ยุคเก่า) รวมถึงมีคอนเนคชั่นช่วยประสานกับนักข่าวได้ โดยเฉพาะนักข่าวสายเศรษฐกิจ นักข่าวหลายคนโชคสองชั้นอาศัยเส้นสายแหล่งข่าวผันตัวไปเป็นข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจก็โชคดีไป หลายคนหันไปทำอาชีพรับจ้างนักการเมืองเช่น ที่ปรึกษา เลขา คอยถือกระเป๋า คอยเป็นที่ปรึกษา บางคนไปเป็นนักการเมืองเลยก็มีให้เห็นเยอะ ขณะที่นักข่าวอีกจำนวนมากต้องเลิกอาชีพนี้ไปเพราะวิกฤตสื่อและวิกฤตเศรษฐกิจ หายหน้าหายตาไปจากวงการจากการเลออฟไม่ต่างจากวงการอื่น
นิพนธ์ ยังให้ข้อคิดเรื่องจรรยาบรรณด้วยว่า อาชีพนี้วิชาชีพค้ำคออยู่ กล่าวคือนักข่าวต้องมี“จรรยาบรรณ” คำนี้คนนอกวงการคงเคยได้ยินเพราะอะไร ง่ายๆก็คือสื่อมีสถานะเป็นบุคคล ที่ต้องทำข่าวเพื่อสาธารณะ ถ้าไม่เป็นกลางก็เรียกไม่รักษาจรรยาบรรณ เช่นรับเงินมาเขียนข่าวเป็นต้น
“ตอนจบของเรื่องนี้เลยต้องบอกว่า อาชีพนี้เหนื่อยก็ต้องทน ทนให้ถึงที่สุด ทนไม่ได้ก็ต้องทน เพราะวิกฤตสื่อที่แข่งขันสูง นายจ้างใช้งานหนักเงินเดือนน้อย จรรยาบรรณก็ต้องรักษา อดีตนักข่าวเพื่อนร่วมรุ่นผมหลายคนเลิกอาชีพไปนานแล้ว หลายคนยังทำอยู่เพราะมีภาระและหลายคนขายวิญญาณไปแล้วแต่ก็เข้าใจ”
“วัฒนธรรมโหมงานหนัก” ฝังรากลึกในวงการสื่อไทย

“ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์” รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตผู้สื่อข่าว ระบุว่า ปัญหาการทำงานหนักเกินกำลังในอาชีพสื่อไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นวัฒนธรรมที่ฝังอยู่ในระบบมานานหลายสิบปี เพียงแต่ในยุคสื่อดิจิทัล นักข่าวต้องทำงานหนักกว่ายุคก่อนอย่างมหาศาล เพราะต้องแข่งขันกับทั้งสื่อทีวีและออนไลน์พร้อมกัน ทำให้ภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
เขาย้อนเล่าประสบการณ์ส่วนตัวว่า สมัยเป็นนักข่าวรุ่นใหม่ เขาเคยทำงานจนถึงตีสอง แล้วต้องออกไปทำข่าวตั้งแต่เช้า แม้ตอนนั้นสื่อยังไม่มีการแข่งขันแบบนาทีต่อนาทีเหมือนปัจจุบัน แต่คนข่าวก็แทบไม่ได้พัก การอยู่ในวงการสื่อต้องอาศัยทั้งความอึดและความรักในงานเป็นพิเศษ ต่างจากสภาพตอนนี้ที่องค์กรสื่อต้องลดคนเพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้คนที่เหลือต้องทำงานหนักยิ่งกว่าเดิม
“การเสียชีวิตของนักข่าวในวัยเพียง 37 ปีอย่างณัฐวุฒิ ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองเพียงในมุมของสุขภาพส่วนบุคคล แต่เป็นสัญญาณเตือนให้องค์กรข่าวและผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายต้องหันมาจริงจังกับเรื่องสวัสดิการ โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพหัวใจ การดูแลสุขภาพจิต และการจัดระบบเวลาทำงานที่ไม่กระทบต่อร่างกายจนเกินไป”
ดร.มานะย้ำว่า การชมเชยนักข่าวว่าทำงานโดยไม่หลับไม่นอนควรเลิกได้แล้ว เพราะนั่นเป็นการสร้างมาตรฐานผิด ๆ ให้คนข่าวต้องเร่งเร้าเพื่อตอบสนองความคาดหวังที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพ หากไม่เริ่มแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ วงการสื่อไทยจะต้องสูญเสียบุคลากรฝีมือดีไปเรื่อย ๆ จากผลกระทบของการทำงานหนักเกินมนุษย์
คนข่าววันนี้เหมือน “แรงงานเดี่ยว” ไร้ระบบคอยประคองแบบอดีต

“รุ่งมณี เมฆโสภณ” นักข่าวอาวุโสซึ่งคร่ำหวอดในวงการมากว่า 48 ปี ให้ภาพเปรียบเทียบระหว่างนักข่าวยุคก่อนกับยุคใหม่ว่า แตกต่างกันมากเกินกว่าจะเปรียบกันได้ด้วยมาตรฐานเดียว เพราะแม้จะทำงานหนักเหมือนกัน แต่ “ระบบพยุงใจ” ที่เคยมีในกองบรรณาธิการกลับหายไปเกือบหมด เหลือเพียงภาระที่โยนลงบนบ่าของคนข่าวแต่ละคนอย่างตรงไปตรงมา
รุ่งมณีเล่าว่า สมัยก่อนนักข่าวใช้ชีวิตแทบจะอยู่กับกองบรรณาธิการ ตกเย็นก็รวมกลุ่มกินข้าว พูดคุย ปรึกษาปัญหา หรือระบายความเครียดร่วมกัน รุ่นพี่คอยดูแลรุ่นน้อง มีวัฒนธรรม “ช่วยกันแบก” ทำให้แม้งานจะหนัก แต่ทุกคนมีพื้นที่หายใจร่วมกัน แต่ในยุคนี้นักข่าวจำนวนมากต้องทำงานตัวคนเดียว ต้องไลฟ์ ต้องเขียน ต้องตัด ต้องส่งงานให้ทันเส้นตาย จะพูดคุย ปรึกษา หรือขอความช่วยเหลือก็แทบไม่มีเวลา
เธอย้ำว่า สื่อออนไลน์ทำให้การแข่งขันรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน นักข่าวหนึ่งคนต้องถือไมค์ ไลฟ์สด รายงานข่าว พร้อมตัดคลิปและเขียนออนไลน์ไปพร้อมกัน ระบบลดคนเพื่อลดต้นทุนยิ่งทำให้ภาระแบกหนักกว่าเดิม แม้บางคนจะยังหนุ่มสาว แต่การทำงานแบบไม่มีพัก ย่อมส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายและใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
รุ่งมณีชี้ว่า การล้มป่วยของคนทำข่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากโครงสร้างที่กดทับมานาน ทั้งการไม่มีคลินิกดูแลสุขภาพจิตของนักข่าว ไม่มีระบบตรวจสุขภาพตามลักษณะงาน และไม่มีมาตรการรองรับการทำงานข่าวหนัก เช่น ภัยพิบัติ การชุมนุม หรือข่าวต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ เธอย้ำว่าการเสียชีวิตของณัฐวุฒิควรเป็น “จุดตื่นรู้” ไม่ใช่เพียงความเศร้าที่ผ่านไป
ความกดดันจากเรตติ้งและรายการสด

ด้าน “รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม” อดีตสื่อมวลชน และอาจารย์คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า
“รู้จักกับน้องนัท ตั้งแต่อยู่ช่อง 3 เจอกันสัมภาษณ์หลายครั้ง น้องช่างพูดเป็นกันเอง ยิ้มเก่ง จนน้องย้ายไปอยู่ทุบโต๊ะ อมรินทร์ ยังกลัวว่าน้องจะไหวไหม เพราะชื่อเสียงพี่พุทธ เป็นที่เลื่องลือ ทั้งบนจอและหลังจอ ระเบิดได้ทุกเวลา และทุกคนต้องพร้อม ต้องเปิดมือถือตลอดห้ามปิด น้องนัทก็อยู่ได้ และได้การสนับสนุนอย่างดี”
เวลามีเรื่องใหญ่ได้มอบหมายให้ทำ แต่ทุกครั้งเรื่องใหญ่สำหรับพี่พุทธ คือต้องลากยาวกินนอน บางเรื่องหลายเดือนกว่าจะจบ และต้องได้ไมค์เดี่ยว จนพี่พุทธย้ายไปช่อง 8 น้องนัทแน่นอนต้องให้ตามไปด้วย ไปอยู่ช่อง 8 เดิมพันที่พี่พุทธ ต้องได้ rating ชนะช่องเดิมที่จากมา และช่องคู่แข่งอย่างไทยรัฐ ความเครียดสะสมตกมาอยู่กับทีม
ยิ่งถูกวางให้เป็นตัวเรียก rating แถมเมื่อรายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีต่อรายการกรรมกรข่าวหลังจบ เป็นปรากฏการณ์อีกหนึ่งรายได้ รายการลุยชนข่าวไม่ยอมตกขบวน รายการจบจัดต่อ รายการพุทธะทอล์ก ในเวลาห้าทุ่มลากยาวไป
คนทำสื่อรู้กันดีว่า ความกดดันมีขนาดไหนเรื่อง rating มา Live ความกดดันมีเท่าทวีคูณ กับความ real และตัวเลขที่โชว์เห็นเห็น เคยเข้าไปดู พุทธะทอล์คโชว์สองสามครั้ง บางช่วงน้องง่วง นิ่งนิ่ง พี่พุทธโยนกระตุ้นนัทว่ายังไง
“การเสียชีวิตของน้องนัทครั้งนี้ น่าจะถึงเวลาที่คนทำสื่อ ควรออกมาปกป้องชีวิตและสวัสดิการ ที่ถูกกระทำตลอดมา มาร่วมกันค่ะ” เธอระบุทิ้งท้าย

