วันนี้ (20 พ.ย. 2568) เวลา 10.40 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงผลปฏิบัติการครั้งใหญ่ 2 ภารกิจ คือ “ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง” และ “ยุทธการสกัดยานรก” พร้อมคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานด้านปราบปรามทุกภาคส่วนเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า สะท้อนความร่วมมือแบบบูรณาการเพื่อกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมอย่างจริงจัง

นายอนุทินระบุว่า คดีการเรียกรับผลประโยชน์จากคนต่างด้าว (“ส่วยสัญชาติ”) เป็นภัยร้ายแรงต่อหลักนิติรัฐ และเปิดช่องให้อาชญากรรมข้ามชาติเล็ดลอดเข้ามาในประเทศ จึงสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งตรวจสอบทันที นำไปสู่การเปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” ที่พบเครือข่ายทุจริตเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทาอย่างเป็นระบบ

นายกรัฐมนตรี ย้ำชัดว่า แม้มติ ครม. เรื่องการเร่งรัดให้สถานะคนไร้สัญชาติ 4.8 แสนคน เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อน แต่เมื่อกลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง จึงสั่งให้กรมการปกครองตรวจสอบทุกขั้นตอนอย่างละเอียด และดำเนินคดีไม่ละเว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเอง เช่น ในกรณีอำเภอฝาง ที่ผู้ใหญ่บ้านถูกไล่ออกและถูกดำเนินคดีแล้ว
“เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่รัฐบางคนหาประโยชน์จากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่รอคอยความชอบธรรมทางกฎหมายมานาน 30–40 ปี และยังเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มจีนเทา สิ่งนี้ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด” นายอนุทิน กล่าว

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อำเภอเวียงแหงมีพฤติกรรมทุจริตลักษณะนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2554 แม้เคยจับกุมปลัดอำเภอและลงโทษจำคุกมาแล้ว แต่เครือข่ายยังไม่สิ้นซาก จึงจำเป็นต้องเปิดปฏิบัติการ “ล้างบาง” ครั้งใหญ่ และถือเป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับ “นายอำเภอ” ในคดีทุจริตทะเบียนราษฎร สะท้อนเจตนารมณ์รัฐบาลว่า “ไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใด”
จากผลการสอบสวน พบการกระทำผิดเชื่อมโยงกับคดีในปทุมธานีที่มีการรับทำบัตรประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม XiaoHongShu และสร้างความเสียหายนับพันล้านบาท โดยศาลอนุมัติหมายจับ 28 ราย จับได้แล้ว 12 ราย รวมเจ้าหน้าที่รัฐ–นายหน้า–คนต่างด้าว พร้อมของกลางหลายรายการต่อเนื่องกัน
นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผล “ยุทธการสกัดยานรก” ปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงจากนอกประเทศสู่ตอนในของไทย โดยบูรณาการตำรวจภูธรภาค 5 ทหาร ปกครอง ป.ป.ส. และหน่วยงานความมั่นคง ปิดล้อม–ตรวจค้น–สกัดกั้นตลอด 24 ชั่วโมงผลปฏิบัติการระหว่างวันที่ 13–19 พ.ย. สามารถจับกุมยาเสพติดได้ 3 คดี ประกอบด้วยยาบ้า ประมาณ 11 ล้านเม็ดไอซ์ 500 กิโลกรัม อายัดทรัพย์สินขบวนการค้ายาอีกหลายรายการ
นายอนุทิน ระบุว่า การทำงานครั้งนี้มุ่ง “ตัดวงจรทั้งระบบ” ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย และเครือข่ายการเงินสีเทา เชื่อมโยงถึงบัญชีม้า สแกมเมอร์ และกระบวนการลักลอบเข้าเมือง
“เราประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ค้ายาเสพติดและผู้กระทำผิดความมั่นคงทุกรูปแบบ ไม่มีใครหลุดพ้นจากการจับกุมได้ หากเป็นต่างชาติ แม้จะขอรับโทษในประเทศไทย ก็ต้องถูกส่งกลับประเทศตนไปรับโทษในที่สุด” นายกฯ กล่าวยืนยัน
นายอนุทินยังกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ทำงานหนัก เสียสละ และทุ่มเท เพื่อปกป้องสังคมไทยจากยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ฟอกเงิน การพนัน และธุรกิจสีเทาทั้งหมด พร้อมเชิญชวนประชาชนแจ้งเบาะแส และร่วมสร้างสังคมปลอดภัยเพื่ออนาคตของเยาวชนไทยปฏิบัติการครั้งนี้สะท้อนทิศทางชัดเจนของรัฐบาลว่า จะเดินหน้าปราบปรามความผิดกฎหมายให้ถึงรากถึงโคน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน และรักษาความมั่นคงของประเทศอย่างถึงที่สุด

