หน้าแรกบทความ”หนู-ตู่”บริหารสไตล์เดียวกัน เน้นโยนกลอง-ไม่ใช่มืออาชีพ                       ...

”หนู-ตู่”บริหารสไตล์เดียวกัน เน้นโยนกลอง-ไม่ใช่มืออาชีพ                                                   

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศอยากเห็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี บริหารประเทศแบบมืออาชีพ มีวิสัยทัศน์ เจออุปสรรคหรือปัญหาจะมุ่งมั่นหาทางแก้ไข ไม่ปัดสวะหรือโยนกลองว่าปัญหาล้วนเกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน                 

ที่สำคัญต่างวาดหวังว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือทีมงานรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะไม่บริหารประเทศแบบเกาะกระแส ปัดสวะหรือโทษรัฐบาลชุดก่อนๆอย่างแน่นอน               

แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล  เป็นผู้นำรัฐบาล ไม่ได้เป็นตามที่คาดหวัง เพราะไม่ได้โชว์ความเป็นนักบริหารมืออาชีพให้เห็นแต่อย่างใด เพียงระยะเพียง 1 เดือน แสดงพฤติกรรมโยนกลอง โทษรัฐบาลชุดเก่า           

ซึ่งไม่แตกต่างกับรัฐบาลเผด็จทหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อย่างใด              

หากได้ติดตามการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ นับแต่ยึดอำนาจมาตั้งแต่ปี 2557 ครองอำนาจยาวนากว่า 8 ปี ระหว่างนั่งบริหารพอเจอวิกฤตด้านเศรษฐกิจ โครงการจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกลายเป็นยาหม้อใหญ่ให้พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรี นำมาเป็นข้อแก้ตัวจนเคยชินว่า ที่ประเทศเป็นหนี้เพราะมีทุจริตในโครงการจำนำข้าว       

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามหรือซีกของพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ว่าถ้าไม่มีรัฐประหาร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้บริหารจนครบกระบวนการจำนำและขายทอดตลาด จะไม่ขาดทุนตามที่รัฐบาลเผด็จการทหารกล่าวอ้างแต่อย่างใด เพราะหลังรัฐประหารมีการเปิดประมูลข้าวด้วยการนำข้าวดีประมูลในราคาเดียวกับข้าวเน่า    ซึ่งพฤติกรรมโยนกลองแบบนี้ถูกนำมาใช้ในยุคของรัฐบาลนายอนุทิน เรียบร้อยแล้ว ขอยกตัวอย่างกรณีกฎหมายจำกัดเวลาขายสุราออกมาบังคับใช้ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบสถานบันเทิงและร้านอาหารอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงเวลา 17.00-24.00 น. พรรคเพื่อไทยนำไปวิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่ได้มีมาตรการอะไรมารองรับก่อน ถูกโฆษกรัฐบาลสวนทันทีเป็นฝีมือของรัฐบาลชุดเก่าที่รัฐบาลชุดนี้ต้องแก้ปัญหา  

หรือกรณีน้ำท่วมที่ประชาชนกว่า 17 จังหวัด กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส หน่วยงานรัฐช่วยเหลือไม่ทั่วถึง แถมรัฐมนตรีคุยโวว่าเอาอยู่ไม่เหมือนมหาอุทกภัยปี 2554 แน่นอน พูดยังไม่ถึง 2 วัน สิงห์บุรีเขื่อนพังบ้านเรือนจมบาดาล หรือที่พระนครศรีอยุธยา จมบาลนานนับเดือนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนักกว่าปี 2554  ทางฝ่ายค้านจากเพื่อไทย บอกว่ารัฐบาลต้องบอกใช้ชัดไม่ใช่พูดว่าน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ซ้ำรอยปี 2554 มันผ่านมาเกือบ 15 ปีแล้ว ปรากฏว่าเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสวนกลับว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศได้เพียง 1 เดือน แต่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่สะสมมาจากรัฐบาลก่อน ทั้งด้านโครงสร้างน้ำ พื้นที่เสี่ยงภัยและระบบบริหารจัดการที่ยังมีช่องโหว่ ถ้าการบริหารที่ผ่านเป็นระบบและมีประสิทธิภาพจริงประชาชนคงไม่เดือดร้อนหนักเช่นในปีนี้   

ทั้งสองตัวอย่างพอที่จะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีความเป็นมืออาชีพแค่ไหน เพราะนักบริหารมืออาชีพจริงๆจะไม่มีการโทษผู้บริหารชุดที่ผ่านมาและที่สำคัญเลขาธิการนายกรัฐมนตรีคงลืมไปว่าตลอดเวลากว่า 10 ปี พรรคภูมิใจไทยนั่งบริหารประเทศมาโดยตลอด มีเว้นวรรคไปนั่งเป็นฝ่ายค้านไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันถ้าหากเกาะติดบทบาทของนายอนุทิน ในฐานะเบอร์ 1 จะพบสไตล์การบริหารแบบเกาะกระแส ยกตัวอย่างประเด็นพิพาทไทยกับกัมพูชา หลังได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯแต่ยังไม่ได้ฟอร์มครม. มีการหารือกับพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อนที่พล.อ.ณัฐพล จะเดินทางไปเจรจากับเขมร โดยนายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่ามอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล ตัดสินใจได้เต็มที่ ครั้นพล.อ.ญัฐพล เดินทางกลับพร้อมกระแสข่าวลือเปิดด่าน สื่อโซเซียลถล่มอย่างหนัก นายอนุทินออกมาปฏิเสธทันทีพร้อมบอกว่าใครเปิดด่านคือหมา ตามด้วยโฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันแก้ต่างว่าพล.อ.ณัฐพล เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดก่อน  

หรือกรณีหลังเกิดเหตุทหารเหยียบกับระเบิดข้อเท้าขาด สื่อโซเซียลหยิบข่าวขึ้นปั่นกระแสอย่างหนักนายอนุทิน สวนบทเกาะกระแสทันทีว่าข้อตกลงสันติภาพ 4ข้อไม่ต้องคุยแล้ว และเงื่อนไขภาษีสหรัฐฯไม่ต้องสนใจให้ไปหาตลาดอื่น ปรากฏว่าได้ใจชาวโซเซียลแบบสุด ๆ  แต่กลับถูกท้วงติงจากฝ่ายค้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ รวมถึงนักการทูตว่านายอนุทินไม่ควรแสดงบทบาทแบบเกาะกระแส การแถลงประเด็นพิพาทควรจะออกมาในรูปแบบแถลงการณ์เป็นเอกสารเพราะจะรัดกุมกว่า     

นอกจากนี้ มักจะอ้างว่าระยะแค่ 4 เดือนจะยุบสภาฯแต่จะไม่ทำอะไรที่ผูกมัด แต่กลับไปแอบเซ็น MOU กับสหรัฐอเมริกา เปิดทางให้สหรัฐฯ เข้ามาสำรวจแร่หายาก พอถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไปแอบเซ็นได้อย่างไรเสมือนคนไทยทั้งประเทศถูกลักหลับ ปรากฏว่าบรรดารัฐมนตรี สส.ฝ่ายรัฐบาล และนายอนุทิน ต่างออกมาประสานเสียงว่าเมื่อเห็นว่าไทยเสียเปรียบสามารถยกเลิกได้ทันที จนถูกฝ่ายค้านสวนว่ายกเลิกยาก กับมหาอำนาจอย่าคิดเป็นเรื่องหมู ๆ หรือคิดจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ จะเข้าทำนองเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้มาตรา 44 ไปยึดเหมืองทองมา ยังโดนฟ้องเรียกค่าโง่ถึง 3 หมื่นล้านบาท   

ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างเพียงบางส่วนยังไม่นับรวมถึงการบริหารแบบโยนภาระให้ข้าราชการไปตัดสินใจเองด้วยการอ้างว่ามอบอำนาจให้แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำรัฐบาลหรือรัฐมนตรีไม่กล้าพอที่จะแสดงความรับผิดชอบเมื่อผลออกมา เพราะถ้าผิดพลาดสามารถโยนกลองให้ข้าราชการได้ การบริหารราชการแบบนี้รับรองได้ว่าจะได้รับการตอบสนองจากข้าราชการแบบแกน ๆ แน่นอน เพราะไม่มีข้าราชการคนไหนกล้าที่จะเอาคอไปวางบนเขียง 

ดังนั้น ถ้านายอนุทินและบรรดารัฐมนตรี ไม่สามารถโชว์ความเป็นนักบริหารมืออาชีพได้จริง ควรที่จะยุบสภาฯจะดีกว่าดันทุรังให้ประเทศทรุดลงเรื่อย ๆ และไม่ต้องไปกังวลว่าจะผิดสัญญากับพรรคประชาชน เพราะถึงอย่างไรเป้าหมายที่พรรคประชาชนให้แก้รัฐธรรมนูญนั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฝ่ายกุมอำนาจและกลุ่มอนุรักษ์นิยมไม่ปล่อยผ่านแน่นอน !!! 

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img