“ราชสีห์ไม่หันมองเสียงหมาเห่า: เมื่อศักดิ์ศรีองค์กรถูกท้าทายด้วยความจริงครึ่งเดียว”

788

ในธรรมชาติ ราชสีห์เดินอย่างสงบ หนักแน่น และไม่เคยเสียสมาธิเพราะเสียงเห่าหอนจากฝูงหมาที่วิ่งไล่ตามในระยะปลอดภัย เหตุผลเป็นเรื่องง่าย ราชสีห์รู้ดีว่าตนเป็นใคร รู้ว่าหน้าที่ของมันคืออะไร และรู้ว่าศักดิ์ศรีไม่ใช่สิ่งที่จะถูกกำหนดโดยเสียงที่ดังที่สุด แต่ถูกกำหนดโดย “ความจริง” ที่ยืนระยะได้ยาวที่สุด

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกันอย่างน่าประหลาดใจ ท่ามกลางกระแสโซเชียลที่พุ่งแรง บางกลุ่มเลือกใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีองค์กร เช่น “องค์กรอาชญากรรม” หรือ “เป็นปัญหาของประเทศ” ถ้อยคำเหล่านี้อาจสะใจผู้พูด แต่ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมดขององค์กรที่มีเจ้าหน้าที่กว่า 200,000 นาย ทำงานหนักกลางแดด กลางฝน กลางดึก เพื่อให้บ้านเมืองเดินได้อย่างปกติ

กระแสเสียงดัง กับความจริงที่ทำงานเงียบ ๆ ในยุคนี้ ความดังไม่ใช่สัญลักษณ์ของความถูกต้อง บางครั้งมันเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความโกรธ ความเข้าใจผิด หรือความพยายามสร้างพื้นที่ทางสังคมให้ตัวเอง

บางกลุ่ม “เห่าให้ดัง” เพื่อให้สังคมหันมามอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงนั้นมีน้ำหนักพอจะเปลี่ยนข้อเท็จจริงได้เลย

ตำรวจหลายพื้นที่ยังคงทำงานตามหน้าที่ จับคดียาเสพติดรายใหญ่ ปราบปรามอาชญากรรม ช่วยเหลือเหยื่อ บริหารงานจราจรในเมืองใหญ่ คอยเป็นด่านแรกในเหตุฉุกเฉิน แต่งานจริงกลับกลายเป็น “ข่าวรอง” เมื่อเทียบกับคำด่าที่ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว

สังคมยุคนี้ให้รางวัลกับเสียงดังมากกว่าเนื้อหาที่จริง นี่คือปรากฏการณ์ที่ราชสีห์เองก็คงส่ายหัว หากมันเข้าใจการเมืองมนุษย์

ศักดิ์ศรีไม่ต้องตะโกน หากเรามองย้อนกลับไปในตำราผู้นำ ราชสีห์ถูกยกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง มันไม่จำเป็นต้องคำรามเพื่อย้ำอำนาจ เพราะพฤติกรรมคือหลักฐานที่หนักแน่นกว่าคำพูด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เช่นกัน องค์กรไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตอบโต้ทุกถ้อยคำที่เกิดจากอารมณ์หรือความเกลียดชัง สิ่งที่สำคัญกว่า คือการยืนด้วยมาตรฐาน ยืนบนหลักฐาน และยืนด้วยผลงานจริง หากองค์กรตอบโต้ทุกเสียงที่เห่าหอน ย่อมเท่ากับลดระดับตัวเองลงไปในสนามโคลนที่คนบางกลุ่มตั้งใจลากให้ลงไปเล่นด้วย

ราชสีห์ไม่เล่นน้ำโคลน มันเดินตรงไปข้างหน้า ทำหน้าที่ของมัน และปกครองป่าด้วยหลักแห่งความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เสียงตะโกน

เสียงวิจารณ์คือยาขม แต่ไม่ใช่ยาพิษ แน่นอนว่าองค์กรระดับชาติย่อมมีข้อบกพร่อง ต้องปรับปรุง ต้องตรวจสอบ และต้องถูกวิจารณ์ นี่คือธรรมชาติของสังคมประชาธิปไตย แต่ “การตรวจสอบ” กับ “การเห่าใส่” คือสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เสียงวิจารณ์ที่มีสาระคือยาขมที่ช่วยให้องค์กรดีขึ้น แต่เสียงกล่าวหาที่ไร้หลักฐานคือยาพิษที่สร้างแต่ความวุ่นวาย ตำรวจจำเป็นต้องแยกให้ออกว่า คำใดควรรับฟังเพื่อปรับปรุง คำใดควรวางลงเพราะเป็นเพียงเสียงสะท้อนของอคติ

ราชสีห์ไม่สนใจเสียงที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อป่า องค์กรตำรวจไม่ควรเสียเวลาตอบโต้เสียงที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อประเทศ

“ความจริงไม่ต้องตะโกนให้ดัง คนที่ตั้งใจฟังจะได้ยินเสมอ เสียงเห่าดังเพราะไร้พลัง แต่การกระทำหนักแน่นเพราะมีภาระ ผู้ที่เดินทำงานย่อมถูกด่ามากกว่า ผู้ที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ราชสีห์ไม่ได้เหนือกว่าเพราะคำราม แต่เพราะมันรู้ว่าต้องเดินไปทางไหน”

“คำกล่าวหาไม่ทำให้องค์กรล้มได้ หากองค์กรยืนอยู่บนความจริง อคติคือแว่นตาที่ทำให้ทุกอย่างดูผิด โดยไม่เคยเห็นความจริงชัดเจน”

บทสรุป: เดินหน้าด้วยศักดิ์ศรี ไม่ถอยให้เสียงไร้สาระ ท้ายที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติคือหนึ่งในเสาหลักของประเทศ จะมีทั้งคนที่รัก คนที่เกลียด คนที่เห็นใจ และคนที่อยากทำลาย นี่คือความจริงที่องค์กรใหญ่หลบไม่พ้น

แต่สิ่งที่องค์กรต้องยึดมั่นไม่ใช่เสียงคน คือภารกิจต่อประชาชนและประเทศชาติ ราชสีห์ไม่เคยกลับหลัง มันเดินหน้า สงบ มั่นคง และทำหน้าที่ของมันโดยไม่ตอบโต้เสียงที่หวังเพียงก่อกวน ตำรวจเองก็ต้องเดินหน้าเช่นนั้น อย่างมืออาชีพ อย่างสง่างาม และอย่างเสือซ้อนเล็บที่ไม่จำเป็นต้องเผยเล็บให้ใครเห็นทุกครั้ง แต่พร้อมเสมอเมื่อถึงเวลาปกป้องป่า