กทช. เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน แก้ปัญหา ที่อยู่-ที่ทำกิน ประชาชนกว่า 1 แสนครัวเรือน

541

ทำเนียบรัฐบาล, 14 พฤศจิกายน – นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (กทช.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัด ทส. ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (กรมทะเล) พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) ข้อกำหนด หลักเกณฑ์ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเขตป่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 โดยพิจารณาการใช้ประโยชน์พื้นที่ในลักษณะแปลงรวม ระยะเวลาในการเข้าอยู่อาศัยและทำกิน เพื่อความเป็นธรรมกับประชาชนที่ได้อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าชายเลนโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ และแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัย และทำกินของประชาชนในพื้นที่ป่าชายเลนให้ถูกต้อง ตามข้อกฎหมาย และสิทธิของผู้ได้รับจัดสรรที่ดิน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และข้อพิพาทในภายหลัง คาดว่าจะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 106,786 ครัวเรือน

โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ร่าง ข้อกำหนดฯ จำนวน 2 ฉบับ โดยมอบหมายให้กรมทะเล ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงระเบียบกรม รวมถึงขอความเห็นชอบกระทรวงการคลัง กรณีไม่นำเงินรายได้ หรือเงินอื่นใดส่งคลังพร้อมทั้ง เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ ตาม (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ โดยให้กรมทะเลดำเนินการเสนอคำสั่งดังกล่าวต่อประธานกทช. เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป

นายสุชาติกล่าวว่า ได้เน้นย้ำให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเร่งดำเนินการและบูรณาการในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรม พะยูนเกยตื้น และการลักลอบตัดเขี้ยวพะยูนเพื่อการค้า อีกทั้ง ให้กรม ทช. เร่งการขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตคุ้มครองทางทะเลโดยชุมชน (LMMAs) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ประเทศไทยจะต้องมีการคุ้มครองพื้นที่ทางทะเลให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามพันธกรณีที่สำคัญ

ทั้งนี้ ดร.ปิ่นสักก์ ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง และปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ 24 จังหวัดชายฝั่ง ในรอบ 6 เดือน (พฤษภาคม – ตุลาคม 2568) พบว่า พื้นที่หญ้าทะเลในภาพรวม 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สตูลมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยรวมแล้วพื้นที่การแพร่กระจายของหญ้าทะเลใน 6 จังหวัดดังกล่าว อยู่ที่ประมาณ 53,000 ไร่ ลดลงจากปี 2567 ประมาณ 6,000 ไร่หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม พบสัญญาณการฟื้นตัวของหญ้าทะเลบางชนิด เช่น หญ้าใบมะกรูด หญ้าชะเงาใบมน และหญ้าชะเงาเต่า ในบางพื้นที่ ส่วนหญ้าคาทะเลยังมีสภาพเสื่อมโทรม

ขณะเดียวกันพบว่าการจัดทำคอกกั้นหญ้าทะเลที่อ่าวป่าคลอก ภูเก็ต ช่วยให้หญ้าทะเลภายในคอกฟื้นตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีการค้นพบแหล่งหญ้าทะเลน้ำลึกใหม่ในจังหวัดพังงาและตรัง รวมพื้นที่ประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความหลากหลายของระบบนิเวศหญ้าทะเลในฝั่งอันดามัน

และจากข้อมูลการสำรวจพะยูนในพื้นที่เกาะลิบง และใกล้เคียง พบประชากรพะยูนอยู่ที่ 49 – 56 ตัว เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี สำหรับสถานการณ์พะยูนเกยตื้นพบว่าลดลงจาก 19 ตัวเป็น 12 ตัว สาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากการป่วย และยังพบการลักลอบตัดหัวซากพะยูนในพื้นจังหวัดกระบี่ จำนวน 1 ตัว