ศาลธัญบุรีรับฟ้องคดีฉ้อโกง จำเลยชื่อพ้องกับ “กต.ตร.”

887

อ่านเจอข่าวหนึ่งในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับคดีฉ้อโกง ฟ้องร้องที่ศาลจังหวัดธัญบุรี ปทุมธานี ตามคดีหมายเลขดำที่ 2461/2568 โดยนายทัศนัย วันคง เป็นโจทก์ ฟ้องนายชัยเมศร์ หรือ ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน

โดยศาลนัดฟังคำสั่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ในคำสั่งระบุว่า พิเคราะห์ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าโจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อชำระค่าแชร์ จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 14 ฉบับ มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้กู้ยืม

ภายหลังโจทก์ตรวจสอบบัญชีกระแสรายวัน ปรากฏว่าคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันไม่ใช่ของจำเลยทั้งสอง และเช็คที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายให้โจทก์เป็นคำขอเปิดบัญชีและเช็คของบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง และผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คคือนายสุนทร ฯลฯ เห็นว่าจากคำฟ้องของโจทก์​ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ ทำให้เห็นว่าเช็คพิพาททั้ง 14 ฉบับที่จำเลยทั้งสองนำมากรอกข้อความและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและสลักหลังมอบให้โจทก์เป็นแบบพิมพ์เช็คที่ยังไม่มีการกรอกข้อความ จึงยังไม่เป็นเช็คหรือตั๋วเงินตามกฎหมาย

การที่จำเลยทั้งสองนำมากรอกข้อความและลงลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คเอง และนำส่งมอบให้โจทก์ จึงไม่ใช่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 266 และ 268 ให้ยกฟ้องข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม


แต่การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เช็คที่ยังไม่เป็นเช็คตามกฎหมายทั้ง 14 ฉบับมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินที่กู้ยืมจากโจทก์ ถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ โดยทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้และมอบเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ให้ประทับรับฟ้องเฉพาะข้อหาฉ้อโกงไว้พิจารณา กำหนดนัดสืบพยานวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2569

พออ่านข่าวจบเกิดอาการสะดุดกับชื่อของจำเลยที่ 1 คือนายชัยเมศร์ หรือ ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ เพราะชื่อนี้ปรากฏเป็นข่าวบ่อยครั้งและสื่อมวลชนในจังหวัดนนทบุรีรู้จักดี จึงไม่แน่ใจว่าชื่อจำเลยไปพ้องกับชื่อ ดร.ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ หรือ ดร.แก้ว ผู้ก่อตั้งเพจ “ดร.แก้วช่วยได้” ได้อย่างไร

เมื่อตรวจสอบในสื่อออนไลน์พบว่า ดร.แก้วมีตำแหน่งและกิจกรรมช่วยเหลือสังคมจำนวนมาก และเป็นคนใจกุศล ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ดร.ปรเมศร์ หรือ ดร.แก้ว ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควักเงินส่วนตัวกว่า 1 ล้านบาทเหมาซื้อทุเรียนยกสวนจากเกษตรกร ระหว่างเยี่ยมชมสวนทุเรียนในพื้นที่ ต.บางศรีเมือง อ.เมือง นนทบุรี หวังกระจายผลผลิตไปยังหน่วยงานต่าง ๆ และแจกจ่ายประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทน

ดร.ปรเมศร์ ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานรัฐหลายแห่ง อาทิ ที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาอัยการจังหวัดนนทบุรี ประธานกิตติมศักดิ์คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี (กต.ตร. ภ.จว.นนทบุรี) ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และประธาน​กต.ตร.สภ.รัตนาธิเบศร์ เป็นต้น และเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเดชอิศม์ ขาวทอง ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อีกด้วย

จากตำแหน่งต่าง ๆ ที่ดร.ปรเมศร์ได้รับการแต่งตั้ง กับนายปรเมศร์ที่ตกเป็นจำเลยฐานฉ้อโกง ถ้าเป็นบุคคลคนเดียวกัน อดสงสัยไม่ได้ว่าหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) นนทบุรี อัยการจังหวัดนนทบุรี และ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ และหน่วยงานอย่างสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีที่แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ก่อนเซ็นคำสั่งออกมา ได้ตรวจสอบประวัติกันบ้างหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเคยถูกโจทก์คนเดียวกันฟ้องช่วงปี 2567–2568 มาแล้ว

ดังนั้นเพื่อไม่ให้หน่วยงานเกิดความมัวหมองหรือเสียครหาว่าแต่งตั้งคนที่ถูกฟ้องร้องฐานฉ้อโกงเข้ามามีบทบาททั้งในสภาผู้แทนราษฎร บก.ภ.จว.นนทบุรี สภ.รัตนาธิเบศร์ และอัยการจังหวัดนนทบุรี ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งตรวจสอบคุณสมบัติว่าเหมาะสมหรือไม่ และเป็นบุคคลคนเดียวกับที่ถูกตกเป็นจำเลยฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความคลางแคลงใจถ้าเป็นบุคคลคนเดียวกัน หน่วยงานที่แต่งตั้งไปควรพิจารณาหาทางออกให้ประชาชนรู้สึกสบายใจ อาจถอนชื่อออกไปก่อน แล้วค่อยพิจารณาแต่งตั้งกลับเข้ามาใหม่เมื่อคดีสิ้นสุด

แต่ “ประดู่แดง” เชื่อว่า ดร.แก้ว หรือ ดร.ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ กับนายชัยเมศร์ หรือ ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ จำเลยฐานฉ้อโกง น่าจะเป็นคนละคนกัน เพียงแต่ชื่อและนามสกุลพ้องกันเท่านั้น เพราะดูจากโปรไฟล์แล้วคงไม่มีนิสัยขี้โกงอย่างแน่นอน​ ซึ่งปริศนานี้ ดร.แก้ว หรือ ดร.ปรเมศร์ ต้องทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็วดีกว่า จะไปแก้ตัวกับผู้หลักผู้ใหญ่ว่าถูกกลั่นแกล้ง !!!