“พริษฐ์” จี้นายกฯ ช่วยเรียกร้องให้ สว. ชะลอใช้อำนาจตั้ง กกต. ชุดใหม่ ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน คดีฮั้ว สว.

428

กรุงเทพฯ, วันที่ 20 ต.ค. – “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษก พรรคปะชาชน ขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้สมาชิกวุฒสภา (สว.) จำนวนมากที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการโกงการเลือก สว. (ฮั้ว สว.) หยุดใช้อำนาจในการตั้งคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่เข้าไปทำหน้าที่ ในระหว่างที่คดียังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบโดย กกต. โดยระบุว่านายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร ไม่มีอำนาจ “บังคับ” ให้ สว. ดำเนินการทางใดทางหนึ่ง แต่ในเมื่อรัฐบาลประกาศในคำแถลงนโยบาย ว่าต้องการ ยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาประเทศ ในการปราบคอรัปชั่น การที่กลุ่มบุคคลที่กำลังถูกตรวจสอบโดยองค์กรหนึ่ง กลับจะตั้งคนเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรที่กำลังตรวจสอบตนเอง ถือว่าเสี่ยงที่จะเป็นการ “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระของ กกต. ในคดีดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางนายกรัฐมนตรียังไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ต่อประเด็นดังกล่าว โดยในวันนี้ ที่ประชุมวุฒิสภากำลังจะเดินหน้าพิจารณาให้ความเห็นชอบ กกต. อีกจำนวน 2 คน แทนกรรมการที่หมดวาระ – หากที่ประชุม สว. ให้ความเห็นชอบกับ 2 คนที่ถูกเสนอชื่อ ก็จะทำให้ กกต. 3 จาก 7 คน เป็นบุคคลที่ได้รับความเห็นโดย สว. ที่กำลังถูกกล่าวหาในคดีโกง สว. (โดยจะมี กกต. อีก 2 คน หมดวาระในช่วงสิ้นปี 2568)

พริษฐ์ กล่าวว่า เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยากชวนนายกฯ และสังคมร่วมกันจับตาและเรียกร้องให้ 1) สว. ชะลอการพิจารณาให้ความเห็นชอบ กกต. คนใหม่ จนกว่า กกต. จะพิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการในคดีดังกล่าวเสร็จตามกระบวนการ (การเรียกร้องให้เฉพาะ สว. 130+ คน ที่ถูกกล่าวหา โหวต “งดออกเสียง” หรือ ไม่ร่วมประชุมในวาระดังกล่าว ไม่เพียงพอ เนื่องจากการให้ความเห็นชอบ กกต. จะต้องอาศัยมติด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ สว. ที่มีอยู่ – ดังนั้น การ “งดออกเสียง” หรือไม่ร่วมประชุม จะทำให้บุคคลที่ถูกเสนอชื่อถูกปฏิเสธโดยทันที)

2) กกต. ดำเนินการตามกระบวนการและกรอบเวลาที่ควรจะเป็น โดยไม่กระทำการใดๆที่ถูกมองว่าเป็นการ “ชะลอ” กระบวนการให้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากความล่าช้าอาจถูกมองในแง่ร้ายได้โดยสังคมว่า เป็นการ “ซื้อเวลา” ให้ สว. ที่ถูกกล่าวหา ได้มีโอกาสเห็นชอบ กกต. มาแทนที่กรรมการชุดเดิม ซึ่งรวมกันทั้งหมดมี 5 จาก 7 คน ที่หมดวาระในปี 2568

“เพื่อแก้ปัญหาในเชิงระบบ ผมเห็นว่าโจทย์สำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรรวมไปถึง 1) การออกแบบกระบวนการในการรับรององค์กรอิสระให้ไม่ผูกขาดกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน 2) การคืนสิทธิของประชาชนในการริเริ่มกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรอิสระ หากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ 3) การทบทวนวิธีการได้มาของวุฒิสภา (หากยังคงรูปแบบสองสภาไว้อยู่) ให้หลุดออกจากวิธีเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร ที่ซับซ้อนและขาดความยึดโยงกับประชาชน” โฆษก พรรคประชาชน กล่าว

แม้จะเข้าใจดีว่าคดีดังกล่าว ยังคงอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบและยังไม่มีการสรุปว่ามีใครกระทำผิดหรือไม่ แต่ผมเห็นว่าหากสมาชิกวุฒิสภาเลือกที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ที่อาจถูกมองได้ว่าเข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” จะย่อมส่งแต่ผลดีต่อความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อความโปร่งใสของกลไกการตรวจสอบและการทำหน้าที่ของสถาบันทางการเมืองในประเทศ