กรุงเทพฯ วันที่ 12 ต.ค. – “หมิว” สิริลภัส กองตระการ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน กล่าวถึงความสำคัญของ “วันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day: WMHDAY)” ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี ว่าถูกกำหนดขึ้นเพื่อย้ำเตือนให้ทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของ “สุขภาพจิต” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพโดยรวมที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่า กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 33 ล้านล้านกว่าบาทไทย โดยเกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ส่งผลให้ ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแลนําไปสู่การสูญเสียทรัพยากรบุคคลในจํานวนมาก

สิริลภัส กล่าวว่า งานวิจัยในปี 62 พบว่าประชากรทั่วโลกมีการสูญเสียปีสุขภาวะจากโรคจิตเวช ประมาณ 418 ล้านปี หรือคิดเป็น 16% ของปีสุขภาวะที่สูญเสียไป ( ปีสุขภาวะที่สูญเสียไป หมายถึง ปีที่ชีวิตสูญเสียไปจากความทุพพลภาพและการเสียชีวิตก่อนวัยอันอันควร ซึ่งจะคำนวณจาก อายุขัยเฉลี่ย – อายุที่เสียชีวิต )ขณะที่ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังผู้พยายามทำร้ายตนเอง (2568) พบคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 1,301 คน หรือเท่ากับ 1.90 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 3.6 คน หรือเสียชีวิต 1 คน ในทุก 6-7 ชั่วโมง และคนไทยพยายามฆ่าตัวตาย 4,353 คน หรือเท่ากับ 6.31 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 12 คน หรือมีผู้พยายามฆ่าตัวตาย 1 คน ในทุก 2 ชั่วโมง
คำนวณจากฐานเดือน พ.ค. และคาดการณ์ไปถึงปลายปีในแนวโน้มคงที่ คนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จ 10,408 คน หรือเท่ากับ 15.08 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ 42.8 คน หรือเสียชีวิต 3-4 คน ในทุก 2 ชั่วโมง คนไทยพยายามฆ่าตัวตาย 34,824 คน หรือเท่ากับ 50.5 ต่อแสนประชากร เฉลี่ยวันละ คน 143 หรือมีผู้พยายามฆ่าตัวตาย 12 คน ในทุก 2 ชั่วโมง

สิริลภัสกล่าวว่า ในขณะเดียวกัน เราพบว่าคนไทย 13.4 ล้านคน เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคจิตเวช และอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี ที่ต้องเผชิญภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง มีสาเหตุมาจากการเรียน สื่อสังคมออนไลน์ ความรุนแรงในครอบครัว และความคาดหวังจากสังคม ในมิติสุขภาพจิตเชิงบวก พบกลุ่มวัยก่อนสูงอายุ 45–59 ปี มีระดับความสุขต่ำที่สุด สะท้อนถึงความเปราะบางทางอารมณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต
“ดิฉัน เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับนโยบายด้านสุขภาพจิต จึงเสนอแนวทางการตั้ง อนุกรรมาธิการสุขภาพจิตเพื่อศึกษาหาแนวทางการปรับปรุงระบริการสุขภาพจิตของประชาชนทุกช่วงวัยเพื่อขับเคลื่อนการ-พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตให้ครอบคลุม เข้าถึง และเข้าใจได้จริง เพราะสุขภาพจิตไม่ควรถูกมองข้าม สุขภาพจิตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของผู้ป่วยแต่เป็นเรื่องของทุกคน เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงบริการทางจิตใจที่มีคุณภาพ และควรได้รับการดูแลเช่นเดียวกับสุขภาพกาย ไม่อยากให้เรื่องนี้ถูกมองข้าม เพราะจิตใจที่แข็งแรง คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิต ครอบครัว และประเทศ” สส.กทม.กล่าว

