ทลายเครือข่ายจดห้างเปิดบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินเหยื่อ สูญกว่า 140 ล้าน

498

ตำรวจนครบาลแกะรอยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด เปิดบัญชีธนาคารใช้หลอกโอนเงิน พบพฤติกรรมตบตาแนบเนียน โอนเงินผ่านมูลนิธิดัง ก่อนถอนออกหลายครั้งรวด เร่งขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง มูลค่าความเสียหายทั่วประเทศกว่า 140 ล้านบาท

ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.และ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. ให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุหลอกลวงในรูปแบบแก๊งค์คอลเซนเตอร์ และขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว

พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น.

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. , พล.ต.ต.กัมปนาท อรุณคีรีโรจน์ ผบก.น.4 , พ.ต.อ.ฤทธี ปานดำ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวนติดตามกลุ่มบัญชีธนาคารซึ่งเปิดในนามนิติบุคคลในรูปแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งมีธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ กล่าวคือเมื่อมีการโอนเงินมายังบัญชีซึ่งเปิดบัญชีในนามนิติบุคคล กรรมการผู้มีอำนาจของนิติบุคคลดังกล่าวจะเข้าถอนเงินจากธนาคาร ที่มีที่ตั้งในห้างสรรพสินค้า เป็นยอดเงินจำนวนมากโดยแบ่งถอนเงินติดต่อกันหลายครั้ง ก่อนบัญชีดังกล่าวจะถูกอายัด

เมื่อตรวจสอบข้อมูลหุ้นส่วนของนิติบุคคลดังกล่าว ยังพบว่ามีรายชื่อจดทะเบียนนิติบุคคลอื่นๆ อีก โดยสลับหน้าที่กันในนิติบุคคลอื่นๆ นอกจากนี้กลุ่มบริษัทที่เชื่อมโยงกันนี้ ยังมีการขอจดทะเบียนผ่านระบบจดทะเบียนดิจิทัล โดยใช้รหัสผู้ทำคำสั่งเป็นคนเดียวกัน และเปิดนิติบุคคลเป็นระยะเวลาเพียง 1 วันก่อน มาทำการเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่งก่อนที่จะมีการใช้บัญชีนั้นๆ จะมีการโอนเงินเพื่อทดสอบการใช้งานไปยังบัญชีรับบริจาคของมูลนิธิที่มีความเคลื่อนไหว และอยู่ในกระแสของประชาชน เช่น มูลนิธิช่วยเหลือโรงพยาบาล, หรือมูลนิธิทีเกี่ยวกับการช่วยเหลือภารกิจชายแดน เมื่อพบว่าบัญชีธนาคารสามารถรับและโอนเงินได้จึงใช้ในการรับผลประโยชน์ ซึ่งได้จากการหลอกลวงประชาชนทั่วไปในรูปแบบต่างๆ เช่น ข่มขู่ให้ตกใจกลัว หลอกลงทุน หรือ หลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และเมื่อได้รับโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายหรือบัญชีม้ามายังบัญชีนิติบุคคลดังกล่าวแล้ว จะมีผู้มาทำหน้าที่ถอนเงิน โดยมีกลุ่มบุคคลคอยทำหน้าที่ควบคุมและรับผลประโยชน์อีกส่วนหนึ่ง (อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผล)

จากการตรวจสอบในระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (TPO) พบเรื่องรับแจ้งในระบบ (Case ID) ซึ่งเกี่ยวข้องกับบัญชีธนาคารนิติบุคคลทั่วประเทศ จำนวน 291 เรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 140 ล้านบาท และพบเหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 16 เรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 39 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการหลอกลวงและสร้างความหน้าเชื่อถือส่งผลให้มีความเสียหายเป็นมูลค่าสูง โดยอาศัยช่องว่างในการขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดในรูปแบบนิติบุคคล ผ่านระบบออนไลน์ และช่องว่างในการทำธุรกรรมในนามนิติบุคคลต่อธนาธคารพาณิชย์ต่างๆ เพื่อสร้างความลำบาก ซับซ้อนในการสืบสวนติดตามและรวบรวมพยานหลักฐาน

พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น.

จึงขอประชาสัมพันธ์ต่อประประชาชนทั่วไปให้ระมัดระวังในการทำธุรกรรมทางการเงินต่อกลุ่มนิติบุคคลและระมัดระวังการชักชวนลงทุนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเปิดเบื้องต้น ในระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ( DBD Data Warehouse : https://datawarehouse.dbd.go.th) โดยกลุ่มบัญชีบริษัทดังกล่าวจะมีลักษณะที่คล้ายกันคือ เพิ่งมีการจดทะเบียนเปิดบริษัทก่อนนำมาใช้จดเป็นบัญชีรับเงิน และมีการใช้สถานที่ ซึ่งไม่สามารถประกอบกิจการได้โดยแจ้งเป็นที่ตั้งนิติบุคคล เช่น บ้านร้าง หรืออาคารซึ่งไม่มีผู้อยู่อาศัย ดังนั้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและไม่ตกเป็นเหยื่อกลุ่มผู้กระทำความผิด