หน้าแรกกระบวนการยุติธรรม"อัครวัฒน์" สว.สำรอง เข้าแจ้งความดำเนินประธาน กกต. กับพวก รวม 8 คน ในฐานความผิดร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้เกิดความเสียหาย จากการจัดเลือก สว.

“อัครวัฒน์” สว.สำรอง เข้าแจ้งความดำเนินประธาน กกต. กับพวก รวม 8 คน ในฐานความผิดร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้เกิดความเสียหาย จากการจัดเลือก สว.

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 ต.ค. 68 ที่ สน.ทุ่งสองห้อง นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สมาชิกวุฒิสภาสำรอง พร้อมด้วยทีมทนายความ ได้เข้ายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งคณะ รวมถึงนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. โดยกล่าวหาว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนทำให้กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ผ่านมาเสียหายอย่างร้ายแรง สำหรับรายชื่อที่ตนจะมีการร้องทุกข์ครั้งนี้มีการระบุชื่อผู้ถูกร้องอย่างชัดเจน ได้แก่

1. นายอิทธิพร บุญประคอง อดีตประธาน กกต.
2. นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อดีต กกต.
3. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อดีต กกต.
4. นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ อดีต กกต.
5. นายชาย นครชัย อดีต กกต.
6. นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ อดีต กกต.
7. นายปกรณ์ มหรรณพ อดีต กกต.
8. นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.

โดยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าอาจมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในการเลือกตั้ง สว. รอบที่ผ่านมา ซึ่งนายอัครวัฒน์ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, พรป. ป.ป.ช. มาตรา 172 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

นายอัครวัฒน์ กล่าวย้ำว่า เหตุผลที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เนื่องจากพบพฤติกรรมที่ไม่สุจริตชัดเจนในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 โดยเล่าว่ามีการ “จัดทีม” ผู้สมัครที่แต่งกายเหมือนกัน เดินทางมาพร้อมกันเป็นหมู่คณะ ใช้รถตู้รับส่งจำนวนมาก รวมถึงมีการจัดอบรมสัมมนาที่โรงแรมหลายแห่ง ทั้งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครนายก และกรุงเทพมหานคร เพื่อวางแผนเลือกตั้งแบบเป็นขบวนการ

“สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นในระบบประชาธิปไตย ทุกคนคาดหวังว่าการเลือกตั้ง สว. จะต้องสุจริต เที่ยงธรรม และเป็นไปตามระเบียบของกกต. แต่สิ่งที่ปรากฏกลับตรงกันข้าม” นายอัครวัฒน์ กล่าว

นายอัครวัฒน์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน เวลากว่าปีได้ล่วงไป แต่ กกต. ยังไม่สามารถชี้แจงหรือแก้ไขข้อสงสัยได้ ทั้งที่มีกระแสสังคมและหลักฐานจำนวนมากบ่งชี้ถึงการทุจริต

“เราทวงถามกกต.มาตลอด แต่ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน ประชาชนจึงยังไม่ได้รับความเป็นธรรม คดีต่าง ๆ ถูกปล่อยให้ยืดเยื้อ ทั้งที่ความจริงหลายเรื่องปรากฏชัดแล้ว” นายอัครวัฒน์ ระบุ

นายอัครวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนรัฐบาลและการแต่งตั้งบุคคลในกระทรวงยุติธรรม อาจมีส่วนทำให้การดำเนินคดีล่าช้า โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มการเมืองในจังหวัดบุรีรัมย์เข้ามามีบทบาทในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้ประชาชนกังวลว่าจะเกิดการแทรกแซงนายอัครวัฒน์ กล่าวด้วยว่า แม้โฆษกกระทรวงยุติธรรมจะออกมาอธิบายว่าคดีนี้ยังอยู่ในอำนาจของ กกต. และไม่มีการแทรกแซง แต่ตนเชื่อว่ามีการ “จัดการเบื้องหลัง” เพื่อถ่วงเวลาและปิดบังความจริงสำหรับหลักฐานที่ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นายอัครวัฒน์ เผยว่า มีทั้งเอกสารและข้อมูลจาก สำนวนการสืบสวนชุดที่ 26 ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นหลักฐานที่หนักแน่นและสามารถนำไปใช้ในศาลได้

“นี่เป็นหนึ่งในคดีเลือกตั้งที่มีหลักฐานมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ภาพถ่าย หรือคำให้การ เรามั่นใจว่าหากกระบวนการยุติธรรมเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมา ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องถูกนำตัวมารับผิดชอบ” นายอัครวัฒน์ กล่าวอย่างหนักแน่น

นายอัครวัฒน์ ย้ำว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นการปกป้องหลักการประชาธิปไตย และในฐานะผู้มีส่วนได้เสียในกระบวนการเลือกตั้งวุฒิสภา ตนมีสิทธิ์ที่จะติดตามและเรียกร้องให้ความจริงถูกเปิดเผย

นายอัครวัฒน์ ตั้งข้อสังเกตว่า คดีที่มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่แรกกลับถูกปล่อยให้ยืดเยื้อนานนับเดือนนับปี โดยที่ กกต. ไม่ได้เร่งตรวจสอบหรือชี้แจงข้อมูลต่อประชาชน ทั้งที่มีสำนวนการสืบสวนเบื้องต้นอยู่ในมือแล้ว นอกจากนี้ ยังแสดงความกังวลต่อการแต่งตั้งบุคคลในกระทรวงยุติธรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม โดยเกรงว่าการเปลี่ยนตัวบุคคลในบางตำแหน่งอาจกลายเป็นการแทรกแซงทางอ้อม

นายอัครวัฒน์ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมที่เรียกว่าการใช้กลไกทางการเมืองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์บางอย่าง ซึ่งถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่ย้ำชัดว่าจำเป็นต้องเปิดเผยสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานทั้งหมดต่อสาธารณะ

นายอัครวัฒน์ ระบุว่า ข้าราชการบางกลุ่มยังคงยึดมั่นในหลักการ โดยเฉพาะทีมสืบสวนที่ทำสำนวน “ชุดที่ 26” ซึ่งทำงานอย่างซื่อสัตย์และพยายามรักษาความยุติธรรมไว้ แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. ว่าไม่เป็นไปตามระเบียบและมีการละเว้นหน้าที่ ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสงสัยต่อความโปร่งใส เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและการแต่งตั้งบุคคลที่อาจเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจในกระบวนการเลือกตั้งนายอัครวัฒน์ จึงเรียกร้องให้สังคมจับตา และให้กำลังใจผู้ที่ต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเปิดเผยความจริง พร้อมทั้งผลักดันให้ผู้ที่มีพฤติการณ์ผิดกฎหมายต้องรับผิดชอบ

นายอัครวัฒน์ เตือนว่า หากกระบวนการยุติธรรมไม่เดินหน้าอย่างตรงไปตรงมา จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและการบังคับใช้กฎหมายลดลง อีกทั้งอาจทำให้ผู้ที่ได้ตำแหน่งมาอย่างไม่โปร่งใสยังคงดำรงตำแหน่ง ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการเมืองโดยรวม และอาจสร้างบรรทัดฐานอันตรายที่ทำให้การทุจริตเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม

นายอัครวัฒน์ ได้ยื่นข้อเรียกร้องหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1. ให้พนักงานสอบสวนรับคำร้องและดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหา 2. เปิดเผยสำนวนและหลักฐานต่อสาธารณะ หากไม่มีเหตุผลสมควรในการปกปิด 3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาสืบสวนโดยไม่ถูกแทรกแซง 4. ขอให้ประชาชนติดตามและร่วมกันผลักดันความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม

นายอัครวัฒน์ ยืนยันว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เกมการเมืองส่วนตัว แต่เป็นการใช้กฎหมายเพื่อทวงคืนความยุติธรรมในฐานะผู้มีส่วนได้เสียจากการเลือกตั้ง สว. โดยชี้ว่าหลักฐานทั้งเอกสารและสำนวนสืบสวนมีความชัดเจนเพียงพอที่จะดำเนินคดี พร้อมย้ำว่ากระบวนการยุติธรรมต้องเดินหน้าอย่างโปร่งใสและไม่ถูกแทรกแซง เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่กำลังถูกสั่นคลอน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img