นายกรัฐมนตรี “อนุทิน” ลงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ำสัมพันธ์ตำรวจดุจพี่น้อง พร้อมกำกับดูแลเอง ชูภารกิจเร่งด่วนปราบยาเสพติด–อาชญากรรมข้ามชาติ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นภารกิจสูงสุด

วันนี้ (1 ตุลาคม) เวลา 13.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางมามอบนโยบายในโครงการสัมมนาผู้นำหน่วยระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนายกฯ อนุทิน ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีต่อข้าราชการตำรวจในบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นกันเองและความเชื่อมั่น
นายอนุทินกล่าวแสดงความยินดีและยอมรับว่ารู้สึกแปลกและเกร็งที่ได้มาในพิธีการลักษณะนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นเป็นแบบ “พี่น้อง” มากกว่าระดับผู้บังคับบัญชา โดยระบุว่าตำรวจกว่า 80% ในห้องประชุมมีความผูกพันกันมานานนับ “ทศวรรษ” จากการที่ตนเองได้เติบโตในครอบครัวที่ใกล้ชิดกับข้าราชการตำรวจมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งได้เป็นลูกเขยตำรวจ
นายกฯ อนุทิน ชื่นชมอาชีพตำรวจว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่หนักที่สุดในโลก ต้องทำงานภายใต้ความกดดันสูง มีความทุ่มเทเสียสละ และต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยกล่าวว่า “ตำรวจในสายตาของตน ที่ถูกบ่มเพาะตั้งแต่เป็นเด็กคือเป็นที่พึ่งพา” และด้วยความผูกพันนี้ ทำให้ตนมั่นใจและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกด้าน ทั้งเรื่องการดูแล ทรัพยากรบุคคล การเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการ สวัสดิการ และการดูแล สุขภาพใจ ของข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงภารกิจที่ต้องการให้ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุ่มเทอย่างเต็มที่ คือเรื่อง ยาเสพติด โดยกล่าวว่าตนไม่ต้องการให้หัวหน้ารัฐบาลคนใดต้องมาพูดถึงเรื่องนี้กับตำรวจอีกในอนาคต โดยหวังว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะสามารถยืนยันได้ว่าปัญหานี้ได้รับการจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงภัยคุกคามอื่น ๆ เช่น การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่เป็นภัยต่อชีวิตประชาชน
นายอนุทิน ให้สัตยาบันว่าจะไม่ตั้งรองนายกฯ ด้านความมั่นคงเพื่อทำงานกับตำรวจโดยตรง แต่จะขอ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยตนเอง โดยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจและเชื่อมั่นว่า “ไม่มีใครรู้จักตำรวจดีเท่าตนเอง ไม่มีใครมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตำรวจใกล้ชิดกับตำรวจ มากเท่าตนเอง”
ตำรวจต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนและปกป้องสถาบันฯ
ในการปิดท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ผู้บริหารตำรวจทุกท่านยึดหลัก นิติธรรม ใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรหลักที่ดำรงความเป็น นิติรัฐ ให้กับประเทศไทย และเป็นที่พึ่งของประชาชนในฐานะ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ที่สำคัญที่สุด นายอนุทินเน้นย้ำให้ตำรวจทุกคนร่วมกัน ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นที่เคารพสูงสุด โดยระบุว่านี่คือภารกิจรักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากยศของตำรวจถือเป็นยศที่ได้รับพระราชทาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และปกป้องสถาบันด้วยชีวิต

ภายหลังมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนโดยระบุว่า การปราบปรามยาเสพติดเป็นปัญหา ต่อความมั่นคงของประเทศของเราที่ใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ตนเองในฐานะ ที่วันนี้ มาทำงานกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและมีหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในคนคนเดียวกันก็จะต้องเร่งแสวงหาความร่วมมือ เพราะการแก้ไขปัญหายาเสพติดของฝ่ายปกครองกับฝ่ายตำรวจ รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ถ้าเราสามารถสนธิกำลังกันได้แล้ว เราจะใช้โอกาสนี้ ในการสร้างกลไก ดำเนินการ กวาดล้าง ป้องกัน ปราบปรามให้ยาเสพติดสิ้นซากให้ได้ เพราะจากที่ตนเคยทำงานร่วมกับ ท่าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ สมัยที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี
ตนเองให้ความสนใจ เรื่องยาเสพติด ในทางส่วนตัวอยู่แล้ว และลงไปดูแลปฏิบัติการกวาดล้างด้วยตัวเองหลายครั้ง เห็นถึงความสำคัญและประสิทธิภาพที่เราเชื่อมั่นในประสิทธิภาพตำรวจของไทยว่าสามารถที่จะดำเนินการกวาดล้างยาเสพติดได้อย่างแน่นอนถ้าเราให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ
ในส่วนของเรื่องอาชญากรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง สแกมเมอร์ค้านุษย์เรื่องยาเสพติด เรื่องค้าประเวณี อาวุธปืนเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่เราสามารถที่จะกระชับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน จากเมื่อก่อนมหาดไทยไปทางตำรวจไป ทาง
ในส่วนระดับเทียการค้ามนุษย์ ที่ประเทศไทยยังไม่ได้รับการปรับระดับ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างตลอดเวลาทุกวันนี้มีแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาอยู่ในระบบอะไรที่เราทำเป็นระบบก็จะทำให้ปัญหาการค้ามนุษย์ลดลงไป
ส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน ที่อภิปรายระบุว่า เครือข่ายแก๊งคอลเฅ็นเตอร์ มีความสัมพันธ์กับอดีตนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี
นายอนุทินระบุว่า ไม่ได้สนิทกับนายกคนปัจจุบันและไม่ได้สนิทกับผบ. ตร. คนปัจจุบันฉะนั้นไม่มีอิทธิพลใดๆที่กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีอิทธิพลใดๆที่จะมากดดัน ที่จะทำให้พวกเราชะงักการทำงาน มั่นใจว่าไม่ได้สนิทกับผบ.ต่าย และกับตน
ส่วนความมั่นคงชายแดน ตนทำงานควบคู่ไปกับกระทรวงต่างประเทศในทางการทูต ในการตั้งเงื่อนไข และจุดยืนของประเทศไทย ส่วน การดูแลอธิปไตยอาณาเขตของประเทศไทย ได้มีการหารือใกล้ชิดกับผู้บัญชาการทหารบก และเสนาธิการทหารบก และให้คำยืนยัน กับทุกท่าน ในด้านการทหาร ในเรื่องเหล่าทัพไปว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมถึงภารกิจของตำรวจตระเวนชายแดนสิ่งเหล่านี้ ที่เราทำต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลตนเองดำเนินการด้วยความรวดเร็วอย่างเต็มที่

วานนี้ (30 ตุลาคม) ครม. อนุมัติงบประมาณสนับสนุน กองทัพเพื่อปกป้องชายแดนของประเทศไทยในขณะที่มีปัญหากับประเทศกัมพูชาซึ่งผู้บัญชาการทหารบกให้ความมั่นใจกับตนเองว่าเรา จะไม่เสียเปรียบ และรักษาอธิปไตย เราได้ทำในสิ่ง ที่ต้องทำ และทำในสิ่งที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจะไม่ผิดหวัง
ในส่วน MOU 43 และ 44 เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้แล้ว แต่ในเรื่อง จะไปถึงประชามติว่าควรจะยกเลิกหรือไม่ เรื่องเหล่านี้มีขั้นตอน หลายคนบอกว่าไม่อยากให้โยนภาระให้พี่น้องประชาชนแต่ตนขอทำความเข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ภาระ เรื่องเหล่านี้มีความคิดที่แตกต่างกันไม่ใช่เรื่องที่จะซับซ้อนถ้าเราให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วม มันก็จะมีหลักพิง สามารถแสวง หาความร่วมมือจากทุกฝ่ายได้
แต่ทั้งนี้ถ้าการศึกษาออกมาดูแล้วไม่มีประโยชน์ต่อประเทศของเรา และถึงขั้น ที่ว่ามีไปแล้วไม่เกิดคุณค่า คณะรัฐมนตรีของตนก็พร้อมที่จะยกเลิก
ส่วนกรณีที่ประเทศกัมพูชามีการกระทำที่ 2 ไปในทางยั่วยุ จากการพูดคุยกับ 4 เหล่าทัพ จะมีการดำรงสภาพ ชายแดน นี้ให้มีการเตรียมพร้อม ในเรื่องของจุดยืนจนกว่าความเป็นภัย ของประเทศกัมพูชาจะหมดไปต่อประเทศไทยรัฐบาล
https://vt.tiktok.com/ZSDTdkaTU

