“สส.ณัฐพล” เสนอ 4 ทางเลือก “อนุทิน 1” จัดการงบ “ซอฟต์พาวเวอร์” 4,000 ล้าน แนะคิดใหม่ทำใหม่ ไม่ให้งบสูญเปล่า

526

กรุงเทพฯ, วันที่ 29 กันยายน – ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายถึงนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า แม้นโยบายนี้ไม่ใช่นโยบายของพรรคภูมิใจไทย แต่จำเป็นต้องพูดเพราะนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ใช้เงินภาษีประชาชนเกือบ 4,000 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ที่จะเริ่มเบิกใช้ได้ในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ แม้รัฐบาลของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ และไม่มีในคำแถลงนโยบาย แต่ความไม่ชัดเจนตอนนี้กำลังทำให้นโยบายนี้มีสภาพ ‘ลูกผีลูกคน’ เอาแน่เอานอนไม่ได้ หากตนไม่หยิบมาพูดในวันนี้ เกรงว่า 1 ปีจากนี้งบประมาณเกือบ 4,000 ล้านบาท อาจหายไปอย่างสูญเปล่า

สภาพความเป็น ‘ลูกผีลูกคน’ ของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการทำไม่ได้อย่างที่พูดของพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยช่วงหาเสียงปี 2566  พท.บอกว่าจะยกระดับเศรษฐกิจไทยด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานแบบ KOCCA ของเกาหลีใต้ โดยจะใช้ชื่อว่า THACCA แต่ผ่านไป 2 ปีสำนักงาน THACCA ยังไม่เกิด เพราะ พท. แอบให้หน่วยงานหนึ่งร่าง กม.จัดตั้งหน่วยงานแทนที่จะร่างเอง เมื่อร่างเสร็จนำไปรับฟังความเห็น ก็ถูกหน่วยงานอื่นแย้งเพราะเป็นการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาทำภารกิจซ้ำซ้อน ทำให้ พ.ร.บ.จัดตั้ง THACCA หายไป ไม่เคยปรากฎเข้ามาในสภาแม้แต่ครั้งเดียว เหลือแต่เพียงงบซอฟต์พาวเวอร์ 4,000 ล้านบาท หากนายกฯ คนใหม่ไม่สั่งตั้งคณะกรรมการ THACCA  หรือถ้าไม่มี พ.ร.บ.จัดตั้งอย่างจริงจัง THACCA จะเหลือแค่บัญชีกับแอดมินที่อยู่ในเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์เท่านั้น 

ณัฐพล กล่าวว่า แม้การจัดตั้งหน่วยงานไม่เกิดขึ้น แต่ 2 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการ THACCA ใช้เงินภาษีประชาชนไปจำนวนมาก อ้างอิงข้อมูลจากบัญชีผู้ใช้ X ที่ชื่อว่า THACCA ระบุว่าปี 2567 ใช้งบกลางไป 635.54 ล้านบาท, ปี 2568 ได้รับงบปกติไป 2,318.42 ล้านบาท และได้งบกลางอีกราวๆ 566.18 ล้านบาท รวมเป็น 2,884.60 ล้านบาท และปี 2569 ที่จะถึงนี้ ได้เงินอีก 3,927.40 ล้าน สรุปว่าซอฟต์พาวเวอร์โดยคณะกรรมการ THACCA จำแลง ได้งบรวมกัน 3 ปี เป็นเงิน 7,447 ล้านบาท 

สส.เชียงใหม่ กล่าวว่า อีกเรื่องที่ต้องพูด คือวิธีการดำเนินงานของคณะกรรมการ THACCA จำแลงที่ผ่านมา ส่อว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางรายได้งานได้เงิน เนื่องจากคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์มีนายกฯ เป็นประธาน และมีคณะอนุกรรมการย่อยๆ หลายคณะแบ่งตามสาขาต่างๆ โดยในคณะอนุฯ เหล่านี้ ประกอบด้วยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการเอกชนมานั่งเป็นกรรมการ ซึ่งตนเคยถามถึงเกณฑ์ในการเลือกเอกชนให้เข้ามาร่วม ปรากฏว่าหน่วยงานได้แต่อมยิ้มและตอบไม่ได้ เพราะไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย เป็นระบบ ‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’ เท่านั้น 

ยิ่งไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง CSI LA ได้ออกมาเปิดโปงขบวนการ ‘ล็อกมงงานอีเวนต์ของรัฐ’ โดยเปิดแผนผังที่แสดงความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “ก๊วนกวาดงานพันล้านของ ททท.” วิธีการคือวางตัวบุคคลหนึ่งไว้ในบอร์ดของ ททท. บุคคลนี้จะทำหน้าที่คิดงาน เคาะงาน รู้ก่อนว่าจะมีงานอะไร จากนั้นก็บอกเครือข่ายพวกพ้องตนเองให้เข้าประมูลงานและได้รับงานนั้นไป ซึ่งข้อกล่าวหาสำคัญที่เพจดังกล่าวเปิดเผยคือคนในขบวนการที่ว่า อาจเป็นคนใกล้ตัวของอดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร 

ณัฐพล กล่าวว่า ดังนั้นในเมื่องบประมาณซอฟต์พาวเวอร์เกือบ 4,000 ล้านบาท จำนวน 113 โครงการ กระจายตัวอยู่ใน 27 หน่วยงาน ภายใต้ 9 กระทรวง กำลังจะถูกใช้ภายใต้การกำกับของหลายรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทิน ตนจึงมี 4 ทางเลือกให้รัฐบาลใหม่ลองพิจารณา 1) “ปล่อยเบลอ ให้หน่วยงานที่ได้รับงบทำไป เพราะไม่ใช่เรื่องที่คิด” 2) “ตัดทิ้งหมดทั้งก้อน” สั่งชะลอโครงการผ่านรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง และทำการโอนเปลี่ยนแปลงภายใน หรืออาจเสนอแก้ พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 เพื่อโอนเปลี่ยนแปลงก็ได้ 3) “ยึดแนวทางเดิมแบบรัฐบาลก่อนและทำต่อ” หากรัฐบาลใหม่เห็นว่าที่ทำมาดีอยู่แล้วและควรทำต่อ สามารถใช้อำนาจนายกฯ ตั้งคณะกรรมการชุดเดิมขึ้นมาอีกครั้งได้ หรือ (4) “คิดและทำใหม่” เลือกใช้โอกาสนี้ในการวางรากฐานที่ดีให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

ทั้งนี้ตนมีข้อเสนอถึงพรรคเพื่อไทย แม้ไม่ได้ทำนโยบายนี้ต่อ แต่สามารถนำผลสัมฤทธิ์ที่ท่านทำมาเพื่อเสนอต่อประชาชน หรือชี้โครงการที่ดีให้รัฐบาลทำต่อ รวมถึงใช้กลไกสภาผู้แทนราษฎร กลไกกรรมาธิการวัฒนธรรม หรือกรรมาธิการท่องเที่ยวที่พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน เพื่อติดตามกำกับให้ความเห็น และหากท่านเห็นว่าการวางรากฐานของซอฟต์พาวเวอร์เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ก็ควรนำเสนอโมเดลการบริหารจัดการซอฟต์พาวเวอร์ในรูปแบบอื่นขึ้นมา เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปทำต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป