การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พิจารณาวาระพิเศษ การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ตามมาตรา162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

ก่อนเข้าสู่การแถลงนโยบาย นางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.จังหวัดอุบลราชธานี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย สรุปกรอบเวลาในการแถลงนโยบายว่าจะใช้เวลา 2 วัน คือ วันนี้ (29 ก.ย. 68) และพรุ่งนี้ (30 ก.ย. 68) โดยจะเริ่มต้นในเวลา 09.00 น. ทั้ง 2 วัน วันนี้ใช้เวลา 16 ชั่วโมง ถึง 01.00 น. หากสมาชิกใช้เวลาไม่ครบก็จะตัดไปเลย แล้วเริ่มต้นใหม่ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่สัดส่วนเวลาของแต่ละฝ่าย คือ คณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ได้เวลา 6 ชั่วโมง ไม่นับรวมที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้เวลา 3 ชั่วโมง และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เวลา 15 ชั่วโมง ขณะที่นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยพรรคประชาชนและพรรคร่วมอื่น ๆ ได้เวลารวม 9 ชั่วโมง ส่วนพรรคเพื่อไทย ได้เวลา 6 ชั่วโมง ด้านประธานรัฐสภา ระบุให้สมาชิกไปพูดคุยแบ่งเวลาและจัดลำดับการอภิปรายกันเองในแต่ละฝ่าย เพื่อความเหมาะสม
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า ตามที่รัฐบาลได้เข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ซึ่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โอกาสในการสร้างรายได้ของประชาชน และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัดและงบประมาณที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำ ทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ การขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนการสร้างระบบเศรษฐกิจที่โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน การสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุขให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมือง และการเสริมสร้างความไว้วางใจจากประชาชน การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ
รัฐบาลชุดนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงของประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารราชการแผ่นดินและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไข ปัญหาเฉพาะหน้าควบคู่กับการริเริ่มวางรากฐานประเทศเพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังความสามารถในช่วงเวลาของรัฐบาลด้วยความชื่อสัตย์ สุจริต และมีคุณธรรม โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งและสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายการคลังให้น่าเชื่อถือ มีวินัย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

