ลือหึ่ง..!!! “ป.ป.ช.” เน่าใน ยื้อ-หมกคดีทุจริตมูลค่าสูง-คดีคนดังเอี่ยว หวั่นลากยาว ปล่อยพวกฉ้อฉล ..ลอยนวล

1945

อ่านข่าวนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 กันยายน หลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 11 เดือน ยังเหลือเวลานั่งอยู่ในตำแหน่งอีกปีกว่า

สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

สื่อหลายสำนักนำเสนอตรงกันว่าไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการลาออก พร้อมต่อท้ายว่าเดือนเมษายน 2568 นายสาโรจน์ได้ยื่นสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

“จอมมารน้อย” พยายามติดตามข่าวจากสำนักต่างๆ ว่านายสาโรจน์ได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุผลที่ยื่นลาออกอย่างไร เพราะปกติพวกองค์กรอิสระจะไม่ไขก๊อกก่อนหมดวาระ ไม่พบข้อมูล พบเพียงบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบางสำนักนำเสนอในเชิงให้ความเห็นว่าอาจจะทนแรงกดดันไม่ไหว เพราะคดีที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. ล้วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ความเสียหายในการทุจริตมีวงเงินสูง และอาจจะถูกสั่งการให้ยื้อคดีไว้หรือลากยาวไปเรื่อยๆ จนหมดอายุความหรือจมหายไปจากกระแสสังคม

หากใครได้ติดตามข่าวในยุคที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพบว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นให้ตรวจสอบหลายคน หรือแม้แต่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูก ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นให้ตรวจสอบสวนเช่นกัน

ในซีกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันโกงมีจำนวนไม่น้อย ขอยกตัวอย่างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพียงแค่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หน่วยงานเดียว มีการร้องให้ ป.ป.ช. สอบหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ยุครัฐบาลเผด็จการทหารเรืองอำนาจ โดนไปหลายคดี แต่กระบวนการไต่สวนดำเนินการไปค่อนข้างล่าช้า

ขอยกตัวอย่างคดีโครงการรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ (Smart Patrol Car-SPC) ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่มีมติแจ้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับพวกรวม 46 คน ในโครงการ SPC จำนวนรถ 260 คัน วงเงินประมาณ 900 ล้านบาท (ปีงบประมาณ 2560-2561) เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566

ต่อมาวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ ป.ป.ช. เรียกร้องเปลี่ยนอนุกรรมการชุดสอบสวนทั้งหมด เนื่องจากเชื่อว่ามีขบวนการกลั่นแกล้ง ต่อมาองค์คณะไต่สวนชุดใหญ่ฯ มีมติ 5:1 ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีความผิดตามข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม มติชั้นไต่สวนยังไม่ได้ถือเป็นชี้มูลความผิดอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะส่งพิจารณาอีกครั้งต่อที่ประชุมใหญ่ของ ป.ป.ช.

หรือคดีโครงการจัดซื้อไบโอเมตริกซ์ (ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) ที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 แจ้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.จักรทิพย์กับพวก วงเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่าขยายระยะเวลารับมอบสินค้าไม่ถูกต้องตามระเบียบ อาจเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้เอกชนคู่สัญญา โดยมีกำหนดส่งมอบภายใน 66 วัน (ครบกำหนด 2 พฤษภาคม 2562) แต่ขยายเวลาไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562

เมื่อตรวจสอบข้อมูลความคืบหน้าของคดี ข้อมูลค้นได้ล่าสุดถึงกันยายน 2568 พบว่าคดีรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ องค์คณะไต่สวน ป.ป.ช. มีมติ 5:1 วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ล่าสุดไม่พบประกาศอย่างเป็นทางการว่า ป.ป.ช. ชุดใหญ่ชี้มูลความผิดแล้ว

หรือคดีโครงการไบโอเมตริกซ์ ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 มีมติแจ้งข้อกล่าวหาแต่ยังไม่ถึงขั้นชี้มูล และอยู่ในขั้นตอนให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและรวบรวมพยานหลักฐาน แต่จนถึงปัจจุบันเวลาล่วงเลยมากว่า 2 ปีแล้ว ยังไม่มีรายงานว่าชี้มูลความผิดแล้ว

จากข้อมูลดังกล่าวพออนุมานได้ว่ายังไม่มีการชี้มูลความผิดอย่างเป็นทางการทั้งสองคดี

หากเปิดระเบียบเกี่ยวกับสถานะหมดอายุความของคดี โดยกรอบระยะเวลาในการไต่สวนของ ป.ป.ช. ตามกฎหมาย ป.ป.ช. กำหนดให้การสอบสวน (ไต่สวนข้อเท็จจริง) ต้องเสร็จภายใน 2 ปี นับจากวันที่เริ่มกระบวนการ และสามารถขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 1 ปี รวมสูงสุดไม่เกิน 3 ปี โดยมีข้อยกเว้นกรณีจำเป็น เช่น ต้องเดินทางไปสืบพยานต่างประเทศ แม้ครบกำหนดแล้ว ป.ป.ช. ยังคงดำเนินการต่อเนื่องได้ โดยไม่ถูกตัดอำนาจตามระยะเวลา

สำหรับอายุความคดีทุจริต: กรณีทั่วไปของอายุความในประมวลกฎหมายอาญามีกำหนดระยะเวลาต่างกัน (เช่น สูงสุดถึง 20 ปี ตามมาตรา 95) สำหรับหลบหนีหรือผู้ถูกกล่าวหาหลบหนีระหว่างกระบวนการดำเนินคดี ป.ป.ช. ได้ปรับกฎหมายไม่ให้นับเวลาในวงอายุความในช่วงหลบหนี แต่เฉพาะในกรณีหลบหนีเท่านั้น

ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างแค่สองคดีจากคดีที่ร้องให้สอบทุจริตนักการเมืองใหญ่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นับพันคดี หลายคดีถูกดองเค็มมาพร้อมกับข่าวลือว่าวิ่งเต้นให้คนใน ป.ป.ช. บางคนบางกลุ่มยื้อไว้โดยมีปัจจัยตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ

ดังนั้น ที่ ป.ป.ช. จัดกิจกรรมต้านโกงทุกปี เพื่อรณรงค์ให้เยาวชนและประชาชนมีสำนึกไม่ทนต่อการโกง ด้วยการระดมองค์กรต่างๆ เข้าร่วมนั้น เชื่อว่าไม่บรรลุผล ถ้าอยากให้บรรลุผลขอให้เปลี่ยนวิธีด้วยการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์ แจ้งผลความคืบหน้าคดีว่านักการเมืองใหญ่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนไหนโกงบ้านโกงเมืองบ้าง และคดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว น่าจะดีกว่าแบบเดิมๆ ใช้งบประมาณลักษณะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ!!!

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้จะจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่? ต้องมีคำตอบให้กับสังคมโดยเร็ว ก่อนที่จะถูกสังคมมององค์กรเป็นภาพลบและเสื่อมศรัทธา