กรุงเทพฯ, วันที่ 19 ก.ย. – นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังจากที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท Infineon Technologies ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ให้กำลังไฟในงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะใช้ไทยเป็นฐานประกอบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในอุปกรณ์ควบคุมระบบไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบกักเก็บพลังงาน และการบริหารจัดการพลังงานสะอาด โดยจะเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศเยอรมนีของกลุ่มอินฟินีออน โดยได้วางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา และมีแผนจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 5,000 คน นอกจากนี้ อินฟินีออนยังมีแผนดึงพันธมิตรระดับโลกเข้ามาร่วมในห่วงโซ่การผลิตในไทย เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตให้รองรับตลาดทั้งในและนอกภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ล่าสุดนายจอร์จ ลี (George Lee) ผู้บริหารอินฟินีออนได้นำ นายมานูเอล ซารอซา บรันดูลัส (Mr. Manuel Zarauza Brandula) กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท Malaysian Pacific Industries (MPI) พันธมิตรรายสำคัญ มาพบ และประกาศการโอนกิจการเดิมในส่วนการผลิต Backend Semiconductor ที่นนทบุรี ซึ่งมีพนักงานกว่า 1,000 คน ให้กับบริษัท Carsem ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการประกอบ บรรจุ และทดสอบชิป รายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย ให้บริการแก่ลูกค้าทั่วโลกมานานกว่า 50 ปี โดยการโอนกิจการครั้งนี้ MPI มีข้อตกลงระยะยาวในการผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อส่งต่อให้กับโรงงานแห่งใหม่ของอินฟินีออนที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อใช้ในการประกอบ Power Module นอกจากนี้ MPI ยังมีแผนขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับชิป (Advanced Packaging) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ารายอื่นด้วย

“การที่อินฟินีออนดึงผู้ผลิตชิปรายใหม่และเป็นพันธมิตรสำคัญอย่าง MPI ให้เข้ามาลงทุนในไทย แสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ และคุณภาพของบุคลากรไทยที่สามารถรองรับการผลิตที่มีมาตรฐานสูงได้ สำหรับในส่วนการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ของอินฟินีออน ส่งผลบวกอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย โดยนอกจากจะมีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงแล้ว บริษัทยังมีแผนพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้านนวัตกรรมของไทย เพื่อพัฒนาบุคลากรสาขาวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในซัพพลายเชนด้วย” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ขอรับการส่งเสริมมากถึง 168 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.08 แสนล้านบาท

