หน้าแรกการเมือง"กัณวีร์" แนะครบรอบ 1 เดือนเหตุปะทะไทย-กัมพูชา รัฐต้องวางแผนสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

“กัณวีร์” แนะครบรอบ 1 เดือนเหตุปะทะไทย-กัมพูชา รัฐต้องวางแผนสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

“กัณวีร์” แนะครบรอบ 1 เดือนเหตุปะทะไทย-กัมพูชา รัฐต้องวางแผนสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน ยึดหลักมนุษยธรรม เร่งเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เหตุ ขาดรายได้ แต่รายจ่ายเท่าเดิม

วันนี้ (24 ส.ค. 68) นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการครบรอบ 1 เดือน เหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ว่า ถ้าดูตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะครั้งแรก ก็เหมือนว่าตอนนี้มียุติการหยุดยิงไปในระยะหนึ่ง หลังจากมีการพูดคุยกันทั้งสองฝ่าย และตกลงกันระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าจะหยุดยิงให้ได้ แต่ข้อตกลงทั้ง 13 ข้อ ตนเองเห็นว่าก็ดี แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืนได้ ดังนั้น การจะสร้างสันติภาพแบบยั่งยืน ประเทศไทยต้องแสดงบทบาทการเป็นผู้นำโดยทันที จะต้องมองการสร้างสันติภาพ กระบวนการสร้างสันติภาพเป็นอย่างไร ตั้งแต่สถานการณ์เฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว เมื่อทำอย่างนี้ได้ ก็จะสามารถทำให้เราดึงกรอบความตกลงทวิภาคีระหว่างไทย – กัมพูชาได้ ดังนั้น สุดท้ายต้องใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่ไทยต้องแสดงบทบาทจริง ๆ ซึ่งต้องมีโมเดลในการสร้างสันติภาพ และต้องทำเรื่องมนุษยธรรม รวมถึงเรื่องการพัฒนาด้วย

“จุดหมายปลายทางของเราการสร้างสันติภาพคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไทย – กัมพูชา ต้องกลับมาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าชายแดน จุดผ่านแดน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ จำเป็นจะต้องกลับมาเหมือนเดิมให้ได้ ตอนนี้เรามีปัญหาเยอะ อย่างเรื่องการศึกษา ที่ตนเองมาในวันนี้บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าไม่สมควรให้เด็กจากประเทศหนึ่ง มาศึกษาในประเทศเรา แต่ถ้ามองจริง ๆ แล้วหากจะสร้างสันติภาพเราต้องมองอย่างเชื่อมโยง ทั้งการสร้างสันติภาพ มนุษยธรรม และการพัฒนา”

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือเรื่องการเยียวยาพี่น้องที่ได้รับผลกระทบหลายแสนคน จาก 7 จังหวัด 20 อำเภอบริเวณแนวชายแดนทั้งหมด ที่มีการอพยพจากชายแดนเข้ามาข้างใน ดังนั้น จะทำอย่างไรในเรื่องการเยียวยาพี่น้องที่ได้รับผลกระทบ เงินไม่สามารถหาได้ แต่ค่าใช้จ่ายยังมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเยียวยาภายในเป็นเรื่องเฉพาะหน้าเร่งด่วนที่คณะรัฐมนตรีจะต้องมีการพิจารณาอย่างรวดเร็ว

“ส่วนท่าทีของไทยต่อประชาคมโลกในขณะนี้นั้น สิ่งที่เราทำมีการเชิญคณะทูต ทูตทหาร ผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน มาดูพื้นที่จริงในสถานการณ์บริเวณชายแดน ซึ่งเราก็พยามสื่อสาร แต่ตอนนี้ก็อยากเห็นว่าข้อตกลง 13 ข้อในเรื่องเกี่ยวกับการหยุดยิง ไม่เคลื่อนย้ายกำลังทหาร ไม่ยั่วยุ ไม่ทำข่าวปลอม มันเป็นจริงแล้ว เราจะได้สื่อสารเอาไปให้ประชาคมโลกเป็นเสียงเดียว ตอนนี้กลายเป็น 2 เสียง คือไทย และกัมพูชา ซึ่งประชาคมโลกก็จะมองว่าสรุปเสียงทั้งสองฝ่าย เสียงไหนเป็นเสียงจริง เพราะหลายครั้งข้อมูลที่ออกไป มันไม่ใช่ข้อมูลชุดเดียวกัน เลยทำให้ยังมีข้อมูลที่งงในเวทีระหว่างประเทศ”

นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า หน้าที่ของประเทศไทย คือการนำเอาหลักฐาน และข้อเท็จจริงออกมาสื่อสารให้ได้ เอาหลักฐานเชิงประจักษ์ออกมาโชว์ให้กับสาธารณะ โดยเฉพาะเวทีระหว่างประเทศ ให้เห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง และพยายามสื่อสารออกไป ในอนาคตอันใกล้จำเป็น ถ้าเราสามารถมีการสื่อสารร่วมกัน ยกตัวอย่าง การประชุม RBC มีการสื่อสารออกมาทั้งจากแม่ทัพภาคที่ 1 และฝั่งกัมพูชา ก็สื่อสารออกไป มันยังมีชุดข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน ก็ทำให้ประชาคมโลกงงว่าข้อเท็จจริงคืออะไร สิ่งที่ดีที่สุดคือการนั่งด้วยกัน และสื่อสารออกไปแถลงข่าวพร้อมกันว่านี่คือบันทึกข้อตกลงร่วม แม้เราจะมีบันทึกข้อตกลง แต่เวลาสื่อสาร ก็สื่อสารคนละฝ่าย ทำให้บางข้อมูลก็เข้าใจไม่ตรงกัน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img